วันศุกร์ที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

อาหารภาคเหนือ



           อาหารภาคเหนือ   ส่วนใหญ่รสชาติไม่จัด  ไม่นิยมใส่น้ำตาลในอาหาร
ความหวานจะได้จากส่วนผสมของอาหารนั้นๆ   เช่น  ผัก   ปลา   และนิยมใช้
ถั่วเน่าในการปรุงอาหาร

           คนเหนือมีน้ำพริกรับประทานหลายชนิด อาทิ น้ำพริกหนุ่ม น้ำพริกอ่อง
ผักที่ใช้จิ้มส่วนมากเป็นผักนึ่ง

           ส่วนอาหารที่รู้จักกันดีได้แก่    ขนมจีนน้ำเงี้ยว    ที่มีเครื่องปรุงสำคัญ
ขาดไม่ได้คือ   ดอกงิ้ว   ซึ่งเป็นดอกนุ่มที่ตากแห้ง  ถือเป็นเครื่องเทศพื้นบ้าน
ที่มีกลิ่นหอม  หรืออย่างตำขนุน  แกงขนุน  ที่มีส่วนผสมเป็นผักชนิดอื่น   เช่น
ใบชะพลู ชะอม และมะเขือส้ม

ผลไม้นานาชาติ

เทศกาลผลไม้นานาชาติ



ขยันครีเอทกิจกรรมสร้างสรรค์มาเอาใจขาช็อปไม่ให้เบื่อกันเลยจริงๆ สำหรับเซ็นทรัลพลาซา แจ้งวัฒนะ ที่่ล่าสุดก็จัดงาน เทศกาลผลไม้นานาชาติ “Fruit Paradise @ CentralPlaza Chaengwattana” เพื่อ รวบรวมผลไม้สุดยอดจากทั่วโลก ที่รับรองว่าแปลก มาให้ชม ชิม และช้อปอย่างจุใจ พร้อมลุ้นไปกับการประกวด ประติมากรรมผลไม้ชิงแชมป์ประเทศไทย ครั้งที่ 1 Thailand Fruit Paradise Arrangement Championship 2009” ในหัวข้อ “ประติมากรรมผลไม้ ในดินแดนแห่งเทพนิยาย” ชิงรางวัลถ้วยเกียรติยศจากองคมนตรี ฯพณฯ อำพล เสนาณรงค์
แต่สำหรับไฮไลท์ของเทศกาล Fruit Paradise @ CentralPlaza Chaengwattana คือ การเปิดตัวผลไม้แปลกตาพันธุ์ต่างๆ และที่สำคัญคือ หาดูได้ยาก อาทิ สาลี่รูปพระพุทธรูป (พระสังกัจจาย), แตงจักรพรรดิ, แห้วยักษ์ (ผลเท่ามะนาว), เกาลัดจากต้นอายุ 500 ปี, เหยินเซินกัวร์, กีวี ไส้แดง, รากบัวยักษ์, ฟักเขียวยักษ์, ผักกาดขาวยักษ์, หัวไช้เท้าสีม่วงและเขียว จากประเทศจีน องุ่นกลิ่นลิ้นจี่, แอปเปิ้ลกลิ่นองุ่น, ไหนหยก, จากแคลิเฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา แอปเปิ้ล ฟูจิ, แอ๊ปเปิ้ลแคระ จากประเทศญี่ปุ่น, น้ำเต้าแฟนซี ขนาดยักษ์, สละอินโด, ผลลังแข ฯลฯ


สาลี่รูปพระพุทธรูป (พระสังกัจจาย)

เทศกาล ผลไม้นานาชาติ Fruit Paradise @ CentralPlaza Chaengwattana จะจัดขึ้นตั้งแต่วันที่ 16-25 ตุลาคม 2552 ณ ลานกิจกรรมชั้น G และชั้น 1 ศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซา แจ้งวัฒนะ

ดอกไม้หลากหลายชีวิต

แด่ดอกไม้หลากหลายพันธุ์


แด่ดอกไม้หลากหลายพันธุ์

     สัปดาห์ก่อน...ฉันมีโอกาสได้เข้าไปยังสำนักแห่งหนึ่งย่านบางกะปิ
หลังจากที่ไม่ได้มีโอกาสเข้ามาเลยเป็นเวลาปีเศษแล้ว
การเข้ามาครั้งนี้ทำให้ได้อะไรกลับออกไปหลายอย่างมาก
โดยเฉพาะได้พบกับบทกวีชิ้นเล็กๆ...สำหรับดอกไม้ทุกช่อในครอบครัวของเรา
ฉันจำได้ว่าเคยได้อ่านมาบ้างแล้วก่อนหน้านี้...เมื่อย้อนเวลากลับไปนานมากพอสมควร
มีโอกาสได้อ่านใหม่อีกครั้งก็ยังรู้สึกชื่นใจ...และชื่นชมท่านอยู่เช่นเดิมไม่เสื่อมคลาย
ที่รจนาได้อย่างเข้มแข็ง....เด็ดเดี่ยว...สมแล้วกับที่เป็นดอกไม้ของครอบครัวเราอย่างแท้จริง
ฉันคิดว่าเหมาะอย่างยิ่งที่ดอกไม้ในครอบครัวเราจะยึดเป็นแบบอย่าง...สตรีอกสามศอก
เพราะไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าใด...ฉันยังไม่เคยเห็นส้นตีนของดอกไม้ดอกนี้เปลี่ยนไป
ผิดกับท่านผู้มีเกียรติทั้งหลายในรุ่นราวคราวเดียวกับท่าน...ที่เป็นผู้ชายอกครึ่งศอก
ผู้ที่ปากประกาศถึงส้นตีนของตัวเองอย่างไม่มียางอายได้เสมอ
แม้ในอดีตส้นตีนเหล่านั้นจะเคยหันไปคนละทิศคนละทาง...จนกระทั้งส้นตีนบางคู่เคยอยู่ตรงกันข้าม
แต่วันเวลาเปลี่ยนใจคนมันก็เปลี่ยนแปลงได้เสมอ...เพื่อ ???? ...ฉันก็ไม่อยากจะคิด
เพราะระดับสติปัญญาของฉันมันคิดไม่ทันคนรุ่นอายุจะหกสิบและเจ็ดสิบกว่า
เดี๋ยวจะโดนต่อว่าเรื่องปากยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม...เหมือนท่านหัวหน้าครอบครัว ( เงา ) ของฉัน
ตามคำโบราณ...แรงน้อยอย่ายกหนัก   วาจาเบาอย่าคิดห้ามคน
จนถึงวันนี้...ฉันไม่ค่อยจะแปลกใจกับท่าทีของท่านหัวหน้าครอบครัวคนใหม่เท่าใดนัก
ในการตอบคำถามผู้สื่อข่าวต่อเหตุการณ์ 6 ตุลาคม  2519 ถึงกรณีที่มีผู้เสียชีวิตเพียงหนึ่งคน
พร้อมกับการสนับสนุนของท่าน รมต.มหาดไทย ว่าเป็นเพราะอุบัติเหตุไอ้ปื้ด( ตำรวจ ) คนหนึ่งมันเมา...
แล้วทำปืนลั่นใส่เลยมีคนตายเกิดขึ้นหนึ่งคนอย่างที่ท่านหัวหน้าครอบครัวให้สัมภาษณ์สื่อต่างประเทศไป
เพราะท่านขณะนั้นยศ ร.ต.อ. อยู่ในเหตุการณ์นั้นตลอด...โถโถ
ท่านสารวัตรกองปราบปรามผู้มีวิสัยทัศน์เฉียบคมสมกับดีอาร์ทางกฎหมายจริงๆ...
แต่ฉันอดที่จะแปลกใจอย่างมากที่สุด...ต่อท่าทีของเหล่าแกนนำผู้ที่เคยมีส้นตีนอยู่คนละทาง
ฉันอยากรู้จริงๆว่าถ้าหากคนที่เสียชีวิตและคนที่ร่วมอุดมการณ์เมื่อสามสิบกว่าปีก่อน
กับท่านท่านเหล่าผู้ชายอกครึ่งศอกพวกนี้ลุกขึ้นมาพูดได้จะพูดว่าอย่างไร
ฉันว่าแต่ละคนคงแทบจะไม่เชื่อหูตัวเองเลยที่จะได้ยินคำตอบจาก...
ท่านที่หนึ่ง...อดีตเลขาศูนย์นิสิตนักศึกษาฯ ปี 2516 ...ท่านเกรียงกมล...
...ผมยังไม่พร้อมที่จะให้สัมภาษณ์ในตอนนี้...
ท่านที่สอง...อดีตเลขาศูนย์นิสิตนักศึกษาฯ ปี 2519 ...ท่านสุธรรม...
คนนี้ไม่พูดช่วงนี้ขอหายสาบสูญก่อนครับ
ท่านที่สาม...อดีตสมาชิกพรรคแนวร่วมมหิดล ปี 2519...ท่านสุรพงษ์...
...ผมไม่รู้...
ท่านที่สี่...อดีตแกนนำพรรคจุฬาประชาชน ปี 2519...ท่านภูมิธรรม...
...ช่วงนี้ผมไม่ให้สัมภาษณ์ใดๆทั้งสิ้น...
ท่านที่ห้า...อดีตแกนนำนักศึกษาแพทย์...ท่านพรหมมินทร์...
คนนี้ช่วงนี้ไม่ว่างให้สัมภาษณ์เพราะงานยุ่งมากต้องไปเขียนบทความประชานิยม
เพื่อนฉันเขาเลยบอกว่า...ถ้าเป็นเขาคงจะตอบว่าความจำเสื่อม...
เพราะอายุมากขึ้นอีกทั้งงานสร้างพรรคพลังประชานิยมก็แสนหนัก
คงจะเช่นเดียวกับท่านที่หก...เจ็ด...และแปด  อันได้แก่...ท่านจาตุรนต์...ท่านจรัล...และท่านเหวง
ที่พร้อมใจกันเป็นโรคความจำเสื่อมกันไปทั้งหมด...เชื้อโรคนี้มันแรงจริงๆ
แต่ท่านที่ฉันขอปรบมือให้ในความเป็นลูกผู้ชายอกสามศอกคือ...ท่านอดิศร...
ที่ออกมาแสดงความเห็นเตือนหัวหน้าครอบครัวคนใหม่ว่า....
การพูดเล่นกับเหตุการณ์หกตุลาเดี๋ยวจะผลักมิตรไปเป็นศัตรู...
พร้อมกับบอกให้ท่านหัวหน้าครอบครัวคนใหม่ขอโทษต่อวีรชนหกตุลาด้วย
เลยทำให้ท่าทีหัวหน้าครอบครัวคนใหม่ของฉันเปลี่ยนไปทันทีทันใด
กลายเป็นไม่พูดถึงไม่ให้สัมภาษณ์ ...เป็นโรคความจำระยะสั้นเสื่อมไปอีกคน...โถโถ
แต่ก็ไม่ยอมออกมาขอโทษให้มันเสียฟอร์มหรอก...ไอ้เรื่องพูดได้จำไว้ด้วยสำหรับท่าน...โอเค โอเค
และอีกท่านที่ความทรงจำยังแจ่มแจ๋วพร้อมออกมานั่งชำระประวัติศาสตร์ได้
คือท่านวิทยา  แก้วภราดัย แห่งพรรค...( เงา )  ผู้ที่ถูกยิงเข้าที่ขาในวันนั้นที่ธรรมศาสตร์...นับถือ.นับถือ
           ชั่วโมงนี้...สำหรับฉันแล้วขอชื่นชมต่อดอกไม้ช่อนี้เสียมากกว่า...ดอกไม้ของปวงชน
เพราะฉันชอบภาษิตบทหนึ่งที่ว่า...รักดอกไม้ต้องถนอม  หากชอบชมจันทร์ก็อย่านอนเร็ว
อีกทั้งดอกไม้ช่อนี้ก็เลือกที่ขึ้นที่เติบโตได้อย่างทระนงองอาจเพราะมีแต่คนชื่นชมใส่ใจดูแล
อยากจะได้เอาไปไว้ประดับบ้านเพื่อเป็นศรีแก่ครอบครัว...ทั้งหอมสดชื่นและหอมนาน
โดยไม่เคยคิดที่จะไปเติบโตอยู่ในกระถางราคาแพงของบ้านเศรษฐีที่เจ้าของชื่นชมอยู่คนเดียว
แต่คนในครอบครัวของฉันส่วนใหญ่...ส่ายหน้ากันเป็นทิวแถว
วันนี้เป็นอีกวันที่มีการเลือก สว. กันล่วงหน้า...มันทำให้ฉันตัดสินใจได้แล้วว่า
ฉันควรจะเลือกดอกไม้เข้าไปเป็นตัวแทนของฉันให้มากๆกว่าที่เป็นอยู่
เพราะชั่วโมงนี้...ประวัติศาสตร์ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าดอกไม้ดีหอมนานกว่า
เหล่าท่านสุภาพบุรุษผู้มีเกียรติทั้งหลาย
โดยเฉพาะดอกไม้ห้าสีที่มีรสนาดี...ทรนงองอาจเพื่อครอบครัวยิ่งกว่าชายอกสามศอก
เพราะฉันเห็นว่าบ้านเมืองเราคนเก่งมีมากแต่คนกล้าหาญมีน้อยนิดจริงๆ...โดยเฉพาะสุภาพบุรุษ
วันนี้ฉันตัดสินใจได้แล้วว่าจะเลือกใครเป็นตัวแทนของฉันแล้วเพื่อนๆ...ตัดสินใจได้หรือยัง
สำหรับฉันเคยคิดว่าถ้าครอบครัวของเรามีตัวแทนเป็นดอกไม้เสียครึ่งหนึ่ง
หรืออาจจะหนึ่งในสาม...ครอบครัวเราจะเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างไรบ้างนะ
แต่สำหรับฉันคิดว่ามันคงจะไม่เลวลงไปกว่านี้แน่...เพราะฉันเชื่อในพลังความเสียสละของเพศแม่มาก
สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อเหล่าดอกไม้ทั้งมวลคงต้องร่วมกันคิด  ร่วมกันทำ  และร่วมกันดูแล
เขียนมาถึงตรงนี้อยากจะคิดเบาๆให้กับเพื่อนที่รักกันเท่านั้นฟังว่า
รู้ใจเราจะทุกข์ใจแทน   ไม่รู้ใจเราคิดว่าเพื่ออะไร
ก่อนจากกันวันนี้เลยขอคัดลอกบทกวีชิ้นเล็กๆของดอกไม้ดอกหนึ่ง
มาฝากดอกไม้อื่นที่มีอยู่เต็มสวนในครอบครัวเพื่อเป็นกำลังใจให้กันแลกัน...
เพราะฉันเชื่อในพลังของดอกไม้หลากหลายพันธุ์...เสมอ
                         
                       @ อหังการ์ของดอกไม้ @

      สตรีมีสองมีอ                       มั่นยึดถือในแก่นสาร
เกลียวเอ็นจักเป็นงาน                 มิใช่ร่านหลงแพรพรรณ
      สตรีมีสองตีน                     ไว้ป่ายปีนความใฝ่ฝัน
ยืนหยัดอยู่ร่วมกัน                      มิหมายมั่นกินแรงใคร
      สตรีมีสองตา                        ไว้เสาะหาชีวิตใหม่
มองโลกอย่างกว้างไกล              มิใช่คอยชะม้อยชวน
      สตรีมีดวงใจ                         เป็นดวงไฟไม่ผันผวน
สร้างสมพลังมวล                       ด้วยเธอล้วนก็คือคน
      สตรีมีชีวิต                            ล้างรอยผิดด้วยเหตุผล
คุณค่าเสรีชน                              มิใช่ปรณกามารมณ์
      ดอกไม้มีหนามแหลม          มิใช่แย้มรอคนชม
บานไว้เพื่อสะสม                      ความอุดมแห่งแผ่นดิน
                                         
                     จีระนันท์  พิตรปรีชา  ประพันธ์ 

สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ

 สัตว์ครึ่งน้ำครึ่งกบ
สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ ได้แก่ กบ อึงอ่าง คางคก เขียด ลักษณะสำคัญของสัตว์กลุ่มนี้คือ หนังเรียบไม่มีเกล็ดและมีผิวหนังชุ่มชื้นอยู่ตลอดเวลา เพราะมีต่อมสร้างน้ำเมือกออกมาถ้าผิวแห้ง บางพวกมีต่อมพิษอยู่ตามผิวที่ขรุขระ เช่น คางคก เป็นต้น สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ เป็นสัตว์เลือดเย็นอาหารที่กินเป็นตัวหนอน แมลง สืบพันธ์โดยการผสมพันธ์ภายนอกตัวเมีย ในฤดูแล้ง  สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำจะหลบความแห้งแล้งและการขาดแคลนอาหารไปอยู่ในที่ชุ่มชื้น โดยการขุดรูฝังตัวอยู่ไต้ดินเรียกว่าการจำศีล ในช่วงนี้สัตว์จะอยู่นิ่งๆ ไม่กินอาหารจะใช้อาหารที่สะสมอยู่ ไว้ในร่างกายอย่างช้าๆ เพื่อรอฤดูฝนที่จะมีถึง จึงออกมาหากินตามปกติ
        อวัยวะ ของกบ กบเป็นสัตว์ที่มีกระดูกสันหลัง สามารถที่จะอาศัยทั้งบนบกและในน้ำ เรียกว่าสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ กบเป็นสัตว์เลือดเย็นอุณหภูมิในร่างกายจะเปลี่ยนแปลงตามอุณหภูมิของสิ่งแวดล้อม ลำตัวของกบแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ได้แก่
 1. ส่วนหัว ประกอบด้วยอวัยวะ เช่น สมอง จมูก ตา หู  ภายในโพรงปากลักษณะของฟันเป็นซี่เล็กๆ ช่องจมูกเปิดโพรงปาก ลิ้นยาวออกมาเป็น 2 แฉก จะมีต่อมน้ำเมือกใช้ในการจับเหยื่อใกล้ฐานลิ้นด้านบน       
2. ส่วนลำตัว อวัยวะภายในจะประกอบด้วยหัวใจ ตับ กระเพาะ ไต เป็นต้น
กบมีขาหลังที่แข็งแรงมาก ทำให้สามารถกระโดดไปด้านหน้าได้ในระยะที่ไกล ขาหน้าของกบจะสั้นกว่าขาหลัง ใช้สำหรับยันพื้นให้มันกระโดดหรือหยุดอยู่กับที่ร่างกายของกบปกคลุ่มด้วยผิวหนังที่บางและยืดหยุ่น มีต่อมสร้างน้ำเมือกกระจายอยู่ทั่วไป นอกจากนี้ยังมีต่อมสร้างเม็ดสีที่ผิวหนังด้วย ทำให้เรามองเห็นกบมีลวดลายของสี

สัตว์เลื้อยคลาน

สัตว์เลื้อยคลาน (Reptilia) จัดอยู่ในไฟลัมสัตว์มีแกนสันหลัง โดยคำว่า Reptilia มาจากคำว่า Repera ที่มีความหมายว่า "คลาน" เป็นสัตว์มีกระดูกสันหลังที่จัดเป็นสัตว์ในกลุ่มแรก ๆ ของโลกที่มีการดำรงชีวิตบนบกอย่างแท้จริง สัตว์เลื้อยคลานที่รอดชีวิตจากการสูญพันธุ์และยังดำรงชีวิตในปัจจุบัน มีจำนวนมากถึง 7,000 ชนิด กระจายอยู่ทั่วโลกทั้งชนิดอาศัยในแหล่งน้ำและบนบก สัตว์เลื้อยคลานจัดเป็นกลุ่มของสัตว์ที่ประสบความสำเร็จในการปรับสภาพร่างกายในการเอาตัวรอด จากเหตุการณ์หินอุกกาบาตพุ่งชนโลกมามากกว่า 100 ล้านปีมาแล้ว
ในยุคจูแรคสิค (Jurassic period) ที่อยู่ในมหายุคมีโซโซอิค (Mesozoic era) ซึ่งมีอายุของยุคที่ยาวนานถึง 100 ล้านปี จัดเป็นยุคที่สัตว์เลื้อยคลานมีวิวัฒนาการจนถึงขีดสุด มีสัตว์เลื้อยคลานมากมายหลากหลายขนาด ตั้งแต่กิ้งก่าตัวเล็ก ๆ จนถึงไทรันโนซอร์รัส เร็กส์ซึ่งเป็นไดโนเสาร์กินเนื้อขนาดใหญ่ ที่มีจำนวนมากมายครอบครองพื้นที่ทั่วทุกแห่งในโลก ยุคจูแรคสิคจึงถือเป็นยุคของสัตว์เลื้อยคลานอย่างแท้จริง ต่อมาภายหลังเกิดเหตุการณ์อุกกาบาตพุ่งชนโลก ทำให้กลุ่มสัตว์บกที่อาศัยในยุคจูแรคสิค เกิดล้มตายและสูญพันธุ์อย่างกระทันหันโดยไม่ทราบสาเหตุของการสูญพันธุ์ที่ชัดเจนและแน่นอน
จากเหตุการณ์อุกกาบาตพุ่งชนโลก ทำให้สัตว์เลื้อยคลานในยุคจูแรคสิคเกิดการสูญพันธุ์ลงอย่างรวดเร็ว จากที่มีจำนวนมากถึง 12 กลุ่ม ได้ลดจำนวนปริมาณลงเหลืออยู่เพียง 4 กลุ่มเท่านั้นในปัจจุบัน ซึ่งกลุ่มของสัตว์เลื้อยคลานที่สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ดีที่สุดคืองูและสัตว์เลื้อยคลานจำพวกลิซาร์ดได้แก่จิ้งจก ตุ๊กแก กิ้งก่า จิ้งเหลนและเหี้ย รองลงมาเป็นจระเข้และแอลลิเกเตอร์ และสำหรับสัตว์เลื้อยคลานที่ยังคงลักษณะทางกายภาพแบบโบราณ ที่ไม่มีการปรับตัวให้แตกต่างไปจากบรรพบุรุษคือเต่า และสัตว์เลื้อยคลานในกลุ่มสุดท้ายคือทัวทารา ซึ่งมีเพียงชนิดเดียวและพบเห็นได้ที่นิวซีแลนด์[1]
สัตว์เลื้อยคลาน มีการปรับสภาพร่างกายที่แตกต่างไปจากสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบกหลายอย่าง ซึ่งทำให้สัตว์เลื้อยคลานนั้นสามารถดำรงชีวิตอยู่ในสภาพภูมิอากาศที่ร้อนและแห้งแล้งในทะเลทรายได้ แต่สำหรับสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบกไม่สามารถดำรงชีวิตในทะเลทรายได้ เนื่องจากเวลาผสมพันธุ์จะต้องอาศัยแหล่งน้ำเป็นตัวกลางในการผสมพันธุ์ เนื่องจากผิวหนังของสัตว์เลื้อยคลานจะแห้งและหยาบกว่าผิวหนังลื่นและเป็นเมือกของสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบก ไม่มีต่อมเหงื่อและต่อมน้ำมันอยู่ใต้ชั้นของผิวหนัง ช่วยทำให้ป้องกันการสูญเสียน้ำและการระเหยของน้ำได้เป็นอย่างดี
สิ่งสำคัญที่สุดคือสัตว์เลื้อยคลานนั้น จะวางไข่บนพื้นดินและมีการวิวัฒนาการให้มีการปฏิสนธิของตัวอ่อนภายในเปลือกไข่ ซึ่งเป็นการปรับตัวเพื่อให้มีการดำรงชีวิตให้รอดพ้นจากแหล่งน้ำ นอกจากนี้ยังมีการวิวัฒนาการของเปลือกไข่ เพื่อช่วยให้ตัวอ่อนภายในไข่มีชีวิตรอดออกมาเป็นตัว เปลือกไข่ของสัตว์เลื้อยคลานทำให้สามารถวางไข่บนพื้นดินแห้งได้ เอมบริโอจะเจริญเติบโตและลอยตัวอยู่ในของเหลวภายใน ที่ทำหน้าที่ห่อหุ้มเยื่อหุ้มไข่ (amnion) เอมบริโอจึงมีของเหลวล้อมรอบเช่นเดียวกับการวางไข่ในแหล่งน้ำ นอกจากนี้เอมบริโอยังมีถุงอาหารที่มีเยื่ออัลแลนทอยส์ (allantois) ซึ่งเป็นเยื่อสำหรับการแลกเปลี่ยนแก๊สผ่านเปลือกไข่ ที่เยื่ออัลแลนทอยส์จะมีถุงสำหรับสะสมของเสียที่เกิดขึ้นในระหว่างการเจริญเติบโต จนเป็นตัวเต็มวัยก่อนออกจากเปลือกไข่ ซึ่งการที่สัตว์เลื้อยคลานสามารถวางไข่บนบก จึงเป็นผลของการวิวัฒนาการร่างกายที่ดีกว่าสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบก
สัตว์เลื้อยคลาน (Reptilia) จัดอยู่ในไฟลัมสัตว์มีแกนสันหลัง โดยคำว่า Reptilia มาจากคำว่า Repera ที่มีความหมายว่า "คลาน" เป็นสัตว์มีกระดูกสันหลังที่จัดเป็นสัตว์ในกลุ่มแรก ๆ ของโลกที่มีการดำรงชีวิตบนบกอย่างแท้จริง สัตว์เลื้อยคลานที่รอดชีวิตจากการสูญพันธุ์และยังดำรงชีวิตในปัจจุบัน มีจำนวนมากถึง 7,000 ชนิด กระจายอยู่ทั่วโลกทั้งชนิดอาศัยในแหล่งน้ำและบนบก สัตว์เลื้อยคลานจัดเป็นกลุ่มของสัตว์ที่ประสบความสำเร็จในการปรับสภาพร่างกายในการเอาตัวรอด จากเหตุการณ์หินอุกกาบาตพุ่งชนโลกมามากกว่า 100 ล้านปีมาแล้ว
ในยุคจูแรคสิค (Jurassic period) ที่อยู่ในมหายุคมีโซโซอิค (Mesozoic era) ซึ่งมีอายุของยุคที่ยาวนานถึง 100 ล้านปี จัดเป็นยุคที่สัตว์เลื้อยคลานมีวิวัฒนาการจนถึงขีดสุด มีสัตว์เลื้อยคลานมากมายหลากหลายขนาด ตั้งแต่กิ้งก่าตัวเล็ก ๆ จนถึงไทรันโนซอร์รัส เร็กส์ซึ่งเป็นไดโนเสาร์กินเนื้อขนาดใหญ่ ที่มีจำนวนมากมายครอบครองพื้นที่ทั่วทุกแห่งในโลก ยุคจูแรคสิคจึงถือเป็นยุคของสัตว์เลื้อยคลานอย่างแท้จริง ต่อมาภายหลังเกิดเหตุการณ์อุกกาบาตพุ่งชนโลก ทำให้กลุ่มสัตว์บกที่อาศัยในยุคจูแรคสิค เกิดล้มตายและสูญพันธุ์อย่างกระทันหันโดยไม่ทราบสาเหตุของการสูญพันธุ์ที่ชัดเจนและแน่นอน
จากเหตุการณ์อุกกาบาตพุ่งชนโลก ทำให้สัตว์เลื้อยคลานในยุคจูแรคสิคเกิดการสูญพันธุ์ลงอย่างรวดเร็ว จากที่มีจำนวนมากถึง 12 กลุ่ม ได้ลดจำนวนปริมาณลงเหลืออยู่เพียง 4 กลุ่มเท่านั้นในปัจจุบัน ซึ่งกลุ่มของสัตว์เลื้อยคลานที่สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ดีที่สุดคืองูและสัตว์เลื้อยคลานจำพวกลิซาร์ดได้แก่จิ้งจก ตุ๊กแก กิ้งก่า จิ้งเหลนและเหี้ย รองลงมาเป็นจระเข้และแอลลิเกเตอร์ และสำหรับสัตว์เลื้อยคลานที่ยังคงลักษณะทางกายภาพแบบโบราณ ที่ไม่มีการปรับตัวให้แตกต่างไปจากบรรพบุรุษคือเต่า และสัตว์เลื้อยคลานในกลุ่มสุดท้ายคือทัวทารา ซึ่งมีเพียงชนิดเดียวและพบเห็นได้ที่นิวซีแลนด์[1]
สัตว์เลื้อยคลาน มีการปรับสภาพร่างกายที่แตกต่างไปจากสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบกหลายอย่าง ซึ่งทำให้สัตว์เลื้อยคลานนั้นสามารถดำรงชีวิตอยู่ในสภาพภูมิอากาศที่ร้อนและแห้งแล้งในทะเลทรายได้ แต่สำหรับสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบกไม่สามารถดำรงชีวิตในทะเลทรายได้ เนื่องจากเวลาผสมพันธุ์จะต้องอาศัยแหล่งน้ำเป็นตัวกลางในการผสมพันธุ์ เนื่องจากผิวหนังของสัตว์เลื้อยคลานจะแห้งและหยาบกว่าผิวหนังลื่นและเป็นเมือกของสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบก ไม่มีต่อมเหงื่อและต่อมน้ำมันอยู่ใต้ชั้นของผิวหนัง ช่วยทำให้ป้องกันการสูญเสียน้ำและการระเหยของน้ำได้เป็นอย่างดี
สิ่งสำคัญที่สุดคือสัตว์เลื้อยคลานนั้น จะวางไข่บนพื้นดินและมีการวิวัฒนาการให้มีการปฏิสนธิของตัวอ่อนภายในเปลือกไข่ ซึ่งเป็นการปรับตัวเพื่อให้มีการดำรงชีวิตให้รอดพ้นจากแหล่งน้ำ นอกจากนี้ยังมีการวิวัฒนาการของเปลือกไข่ เพื่อช่วยให้ตัวอ่อนภายในไข่มีชีวิตรอดออกมาเป็นตัว เปลือกไข่ของสัตว์เลื้อยคลานทำให้สามารถวางไข่บนพื้นดินแห้งได้ เอมบริโอจะเจริญเติบโตและลอยตัวอยู่ในของเหลวภายใน ที่ทำหน้าที่ห่อหุ้มเยื่อหุ้มไข่ (amnion) เอมบริโอจึงมีของเหลวล้อมรอบเช่นเดียวกับการวางไข่ในแหล่งน้ำ นอกจากนี้เอมบริโอยังมีถุงอาหารที่มีเยื่ออัลแลนทอยส์ (allantois) ซึ่งเป็นเยื่อสำหรับการแลกเปลี่ยนแก๊สผ่านเปลือกไข่ ที่เยื่ออัลแลนทอยส์จะมีถุงสำหรับสะสมของเสียที่เกิดขึ้นในระหว่างการเจริญเติบโต จนเป็นตัวเต็มวัยก่อนออกจากเปลือกไข่ ซึ่งการที่สัตว์เลื้อยคลานสามารถวางไข่บนบก จึงเป็นผลของการวิวัฒนาการร่างกายที่ดีกว่าสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบก

อวัยวะภายนอกร่างกาย

รอบรู้เรื่องตัวเรา (อวัยวะภายนอก)
อวัยวะของเราแต่ละอย่าง มีประโยชน์ต่อเรา ช่วยให้เราสามารถทำสิ่งต่าง ๆ ได้ เช่น ตาช่วยมองเห็น หูช่วยให้เราได้ยินเสียงต่าง ๆ จมูกช่วยให้เราได้กลิ่น มือช่วยในการหยิบสิ่งต่าง ๆ เป็นต้น
เรามีชีวิตอยู่อย่างมีความสุข เพราะอวัยวะต่าง ๆ ของเราแข็งแรงสมบูรณ์พร้อมที่จะทำงานให้เสมอ อวัยวะต่าง ๆของเรานับตั้งแต่เส้นผมบนหนังศีรษะจนถึงปลายเท้าต้องได้รับการดูแลเอาใจใส่อยู่เสมอ ด้วยการทำความสะอาด และป้องกันอันตรายต่าง ๆ ที่อาจเกิดกับอวัยวะส่วนนั้น คนที่ร่างกายสะอาดจะเป็นคนที่น่ามอง คนพบเห็นก็อยากจะพูดคุยประการที่สะอาดย่อมไม่เป็นที่อยู่ของเชื้อโรคต่างๆ

ผม เป็นส่วนที่อยู่บนสุดของร่างกาย เด็กผู้หญิงบางคนไว้ผมยาว บางคนไว้ผมสั้น แต่เด็ก ๆคตงรไว้ผมสั้นเพราะจะสะดวกต่อการดูแลรักษา ผมยาวจะสกปรกง่าย และอาจเป็นเหาได้ง่าย ผุ้ที่ไว้ผมยาวควรรวบผมไว้ข้างหลังให้เรียบร้อย เด็กผู้ชายจะมีรปัญหาเรื่องผมน้อยกว่าเด็กผู้หญิงเพราะผมสั้นอยู่แล้ว
การทำความสะอาดและดูแลรักษาผม
1. ควรสระผมอย่างน้อยสัปดาห์ละ 2 ครั้ง
2. หลังสระผมทุกครั้งควรเช็ดผมให้แห้งและหวีเบา ๆ
3. ใช้หวีและแปรงที่ให้ต้องสะอาดอยู่เสมอ
ผิวหนัง   เป็นอวัยวะภายนอกที่ห่อหุ้มร่างกาย ผิวหนังต้องสัมผัสกับสิ่งสกปรกตลอดทั้งวัน เราจึงควรดูแลผิวหนังของเราดังนี้
การทำความสะอาดผิวหนัง1. อาบน้ำถูสบู่ ชำระร่างกายให้สะอาด อย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง คือ ตอนเช้า และตอนเย็น
2. เช็ดตัวให้แห้ง ทาแป้ง และเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ที่สะอาดทุกครั้ง
3. ควรออกกำลังกาย และให้ผิวหนังได้รับแสงแดดอ่อน ๆ ผิวหนังที่สะอาดทำให้เรารู้สึกสดชื่น ไม่มีกลิ่น และไม่เป็นโรคผิวหนัง
ตา เป็นอวัยวะภายนอกที่สำคัญยิ่งของคนเรา เรามีตา 2 ตา ตาของเรามีหน้าที่ดูสิ่งต่าง ๆ ที่อยู่รอบตัวเราถ้าตาบอดเราจะทำทำงานต่าง ๆ ได้ลำบากขึ้น ตาเป็นอวัยวะที่สำคัญมา กังนั้นเรต้องดูแลรักษาตาอย่างทะนุถนอม
การทำความสะอาดและระวังรักษาตา
1. เมื่อมีผลเข้าตา ควรลืมตาในน้ำสะอาด อย่าใช้นิ้วขยี้ตา
2. อ่านหนังสือในที่ ที่มีแสงสว่างเพียงพอ และเมื่ออ่านหนังสือนาน ๆ ควรหยุดพักสายตา โดยหลับตาสักครู่ หรือมองไปไกล ๆ
3. อย่าดูโทรศัพท์ใกล้จอภาพมากเกินไป ควรดูห่างประมาณ 12 ฟุต และภายในห้องควรมีแสงสว่างเพียงพอ
4. ไม่อ่านหนังสือบนรถ หรือในเรือที่กำลังแล่น หรือที่ที่มีแสงน้อย
5. อย่าใช้ผ้าเช็ดหน้าร่วมกับผู้อื่น
6. ถ้ามีปัญหาเกี่ยวกับตาควรไปพบแพทย์โดยด่วน
หู เรามีหู 2 หู หูของเราใช้ฟังเสียงแต่การที่เราได้ยินเสียงดังมาก ๆ บ่อย ๆ หรือเกิดอุบัติเหตุบาง อย่างกับหู อาจทำให้หูตึงหรือหูหนวกได้ เมื่อหูหนวกแล้วเราจะไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย เราต้องทะนุถนอมหูดังนี้
การทำความสะอาดและดูแลรักษาหู
1. เวลาอาบน้ำหรือสระผมควรระวังอย่าให้น้ำเขาหู
2. หลังอาบน้ำเสร็จ ควรใช้ผ้าเช็ดใบหูและกกหู
3. หลีกเลี่ยงการฟังเสียงที่ดังเกินไป
4. ไม่ตะโกนใส่หู ตบหู หรือแหย่รูหูกันเล่น
5. ไม่ควรแคะหูเอง ถ้ารู้สึกว่ามีขี้หูมาก หรือมีอะไรเข้าหูควรบอกผู้ใหญ่
6. หลีกเลี่ยงการสั่งนำมูกแรง ๆ
จมูก เรามีจมูกอยู่ 1 จมูก จมูกมีหน้าที่หายใจและรับกลิ่น เช่นกลิ่นหอมของดอกไม้ กลิ่นเหม็นของขยะ เป็นต้น เราต้องดูแลรักษาจมูกให้ดีอย่าให้เป็นอันตรายดังนี้
การทำความสะอาดและการระวังรักษาจมูก
1. ควรใช้ผ้าสะอาดชุบน้ำหมาด ๆ เช็ดในรูจมูก ๆ เมื่อฝุ่นหรือน้ำมูกติดอยู่
2. ไม่ควรอยู่ในที่ที่มีอากาศสกปรก หรือมีฝุ่นละอองมาก ๆ
3. ไม่ควรใช้นิ้วมือหรือวัตถุแข็ง ๆ แคะจมูกเพราะจะทำให้จมูกอักเสบและติดเชื้อโรคได้ง่าย
4. ไม่ควรสั่งน้ำมูกแรง ๆ เมื่อเป็นหวัด
5. ไม่ถอนขนจมูกทิ้ง หรือตัดให้สั้น เพราะจะทำให้ฝุ่นละอองและเชื้อโรคขู่ร่างกายได้ง่าย
6. ระวังไม่ให้จมูกได้รับการกระแทกอย่างแรง เพราะอาจทำให้เลือดกำเดาไหล
7. ไม่นำเมล็ดผลไม้หรือสิ่งต่าง ๆ ใส่ในจมูกเล่น เพราะอาจจะหลุดเข้าไปในรูจมูกและปิดทางเดินหายใจ อาจทำให้ถึงตายได้
8. หากมีอาการผิดปกติที่จมูกควรรีบปรึกษาแทพย์
ปากและฟัน ปากเป็นอวัยวะที่มีหน้าที่เป็นช่องทางรับอาหารเข้าสู่ร่างกาย ใช้สำหรับพูดคุย ภายในปากยังมีฟันมีหน้าที่บดเคี้ยวอาหาร และลิ้นที่ช่วยในการรับรส เช่น เปรี้ยว หวาน เค็ม ขม เป็นต้น
ฟัน มีหน้าที่ฉีกอาหาร และบดเคี้ยวอาหารให้เป็นชิ้นเล็ก ๆ เพื่อกลืนเข้าไปในลำคอเข้าสู่ร่างกาย ฟันคนเรามี 2 ชุด คือ ฟันน้ำนมและฟันแท้
การทำความสะอาดและดูแลรักษาปากและฟัน1. แปรงฟันทุกวันอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง คือ ก่อนเข้านอน และหลังตื่นนอนตอนเช้า ทุกครั้งที่แปรงฟันจะต้องแปรงให้ถูกวิธี
2. หลังรับประทานอาหารควรแปรงฟัน หรือบ้วนปากด้วยน้ำสะอาดทุกครั้ง
3. อย่าใช้ไม้จิ้มฟัน แคะฟัน
4. ควรรับประทานผักผลไม้ที่มีกากใย เช่น แตงกว่า มะเขือเทศ ชมพู่ จะช่วยนวดเหงือกและฟัน
5. ไม่รับประทานอาหารพวกลูกอม (ท๊อฟฟี่) และอาหารที่มีรสหวานจัด เพราะอาจทำให้ฟันผุได้
6. ควรไปตรวจสุขภาพฟันทุก ๆ 6 เดือน
ขั้นตอนและการแปรงฟันที่ถูกต้อง
1. ฟันบน ใช้ขนแปรงปัดจากบนลงล่าง

2. ฟันล่าง ใช้ขนแปรงปัดจากล่างขึ้นบน

3. ฟันกราม ใช้ขนแปรงถูไปมา

4. ฟันหน้า ใช้ขนแปรงปัดจากบนลงล่าง

นิ้วและนิ้วมือ เรามีมือ 2 ข้าง มือแต่ละข้างมี 5 นิ้ว  เราใช้มือและนิ้วหยิบจับสิ่งของและทำงาน ดังนั้นมือและนิ้วมือจึงเป็นอวัยวะที่สกปรกได้ง่าย เราจึงควรล้างมือและนิ้วมือให้สะอาดอยู่เสมอ โดยเฉพาะก่อนหรือเตรียมอาหารและหลังรับประทานอาหาร หลังเข้าห้องน้ำ ห้องส้วม หลังจามหรือไอ หลังเล่นกับสัตว์เลี้ยง หรือกลับมาจากนอกบ้าน
การทำความสะอาดรักษามือและนิ้วมือ
1. ล้างมือให้สะอาดด้วยน้ำและสบู่ ก่อนรับประทานอาหารและหลังจากเข้าห้องน้ำ
2. ไม่อมนิ้วมือเพระจะทำให้เชื้อโรคเข้าสู่ร่างกาย
3. ควรตัดเล็บให้สั้นอยู่เสมอ
4. ควรสามถุงมือเมื่อต้องสัมผัสกับสารเคมี เช่น ผงซักฟอก ยาย้อมผม น้ำยาล้างจาน เป็นต้น
ขาและเท้า เรามีขาและเท้า 2 ข้าง เท้าแต่ละข้างมี 5 นิ้ว เท้าเป็นอวัยวะที่ต้องรับน้ำหนักของร่างกายขณะที่เคลื่อนไหว ไปไหนมาไหน เท้าจะสัมผัสสิ่งต่าง ๆ  อยู่ตลอดเวลา  จึงสกปรกง่านเราต้องหมั่นทำความสะอาดอยู่เสมอ ดังนี้
การทำความสะอาดและดูแลรักษาเท้า
1. ล้างเท้าให้สะอาดด้วยสบู่และน้ำสะอาดหลังจากเหยียบย่ำสิ่งสกปรก
2. ตัดเล็บเท้าให้สั้นอยู่เสมอ ถ้าไว้เล็กเท้าอาจจะเป็นที่สะสมของเชื้อโรคต่าง ๆ ได้ง่าย
3. เมื่อล้างเท้าแล้วควรเช็ดให้แห้ง
4. สวมรองเท้าเพื่อป้องกันเชื้อโรคและอันตรายจากของมีคม และควรสมรองเท้าที่เหมาะ

เครื่องมือช่างไม้

สินค้าและบริการ
9. เครื่องมือช่างไม้-เฟอร์นิเจอร์และอุปกรณ์

  เครื่องตัด-เจียร์ไฟฟ้า (Angle Grinder)
ใช้งานตัดและเจียร์วัสดุทั่วไป มีหลายขนาด
และยี่ห้อให้เลือกตามต้องการ
  เครื่องเลื่อยวงเดือน (Circular Saw)ใช้งานตัดไม้และอื่นๆมีหลายขนาด
และยี่ห้อให้เลือกตามต้องการ
  ใบเลื่อยคาร์ไบร์ (Metal Sitting Saws)
ใช้ตัดไม้,ตัดอลูมิเนียม,ตัด PVC ,ตัดพลาสติก มีขนาดตั้งแต่ 4"-24"ใช้คู่กับเครื่องเลื่อยวงเดือน
  เครื่องโรเตอร์พร้อมดอก (Router)
ใช้งานเซาะร่องไม้ต่างๆ งานทำบัวไม้ทั้ง
เฟอร์นิเจอร์และก่อสร้าง พร้อมดอกแบบต่างๆ
เพื่อทำลายบัวหลายรูปแบบได้
  เครื่องขัดพื้นปาเก้ (Wooden Floor Sander)
ใช้งานขัดพื้นไม้ปาเก้บริเวณกว้างๆ เครื่องยนต์เบนซินมีขนาด 8-13 HP.ใช้งานง่ายสะดวกรวดเร็ว
  เครื่องตัดองศา (Miter Saw)
ใช้งานตัดไม้ต่างๆ ไม้ปาเก้,กรอบรูป,ไม้บัวและอื่นๆตามต้องการ  ตัดตรงและตัดเอียงองศาได้ในตัว มีหลายรุ่นและยี่ห้อให้เลือกตามต้องการ

รัชกาลต่างๆของไทย

วันปีใหม่

ประวัติวันปีใหม่
Your Vote Rating 8.6 from 122 users
จำนวนผู้เข้าชม 30916 ครั้ง
See All Comments





Dino-Lite กล้องจุลทรรศน์พกพา รางวัลยอดเยี่ยมโลก


ตามจารีตประเพณีของไทยแต่โบราณ ถือเอาวันแรมหนึ่งค่ำ เดือนอ้าย (เดือนหนึ่ง) เป็นวันขึ้นปีใหม่ ซึ่งสอดคล้องกับคติทางพระพุทธศาสนา ที่เริ่มฤดูหนาว (เหมันต์) เป็นจุดเริ่มต้นของปีต่อมา จารีตดังกล่าวได้แปรเปลี่ยนไปตามคติของพราหมณ์ ซึ่งใช้วันขึ้นหนึ่งค่ำเดือนห้าเป็นวันขึ้นปีใหม่ ที่กล่าวมาแล้วทั้งหมดเป็นการนับวัน เดือน ปี แบบจันทรคติ คือการใช้การโคจรของดวงจันทร์เป็นเกณฑ์
ต่อมาเมื่อทางราชการเปลี่ยนมาใช้แบบสุริยคติ คือใช้ดวงอาทิตย์เป็นเกณฑ์ จึงได้ถือเอา วันที่ 1 เมษายน เป็นวันขึ้นปีใหม่ เริ่มใช้เมื่อปี พ.ศ. 2432
วันขึ้นปีใหม่ของนานาอารยประเทศ ใช้วันที่ 1 มกราคม เป็นวันขึ้นปีใหม่ ซึ่งเป็นการนับตามสุริยคติ เมื่อประเทศไทยซึ่งเดิมใช้วันแรมหนึ่งค่ำ เดือนอ้าย ของไทย เป็นวันขึ้นปีใหม่ นับว่าเป็นห้วงระยะเวลาใกล้เคียง กับวันที่ 1 มกราคม จึงเห็นว่าการที่ใช้วันที่ 1 มกราคม เป็นวันขึ้นปีใหม่ของไทยเป็นการเหมาะสมดังนี้
ตามทางดาราศาสตร์ การกำหนดอาศัยหลัก 2 ประการ คือ ใช้หลักวันที่ดวงอาทิตย์ อยู่ห่างจากเส้นศูนย์สูตรมากที่สุด ซึ่งจะตกประะมาณ วันที่ 22 ธันวาคม อีกประการหนึ่งใช้หลักวันที่ดวงอาทิตย์ อยู่ใกล้เส้นศูนย์สูตรมากที่สุด ซึ่งจะตกประมาณวันที่ 20 มีนาคม ประเทศไทยเคยใช้หลักประการแรกมาก่อน คือใช้เดือนอ้าย แรมหนึ่งค่ำ ซึ่งใกล้เคียงกับวันที่ 22 ธันวาคม
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า ฯ ได้ทรงอธิบายไว้เป็นใจความว่า ฤดูหนาวเป็นเวลาที่พ้นจากมืดฝน สว่างขึ้นเหมือนเวลาเช้า โบราณจึงถือเป็นต้นปี ฤดูร้อนเป็นเวลาสว่างเต็มที่เหมือนเวลากลางวัน โบราณจึงถือเป็นกลางปี ส่วนฤดูฝนเป็นห้วงเวลาที่มืดครื้ม เหมือนกลางคืน โบราณจึงถือเป็นปลายปี จึงได้เริ่มเดือนหนึ่งที่เดือนอ้าย และไทยโบราณถือการเริ่มข้างแรมเป็นต้นเดือน
มีผู้ค้นพบว่า คติที่นับวันใดวันหนึ่งในห้วงระยะเวลาระหว่างวันที่ 21 เดือนธันวาคม ถึงวันที่ 1 เดือนมกราคม เป็นวันขึ้นปีใหม่นี้ เป็นคติเก่าแก่ของชนชาติที่อยู่ในเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ หรือสุวรรณภูมิ ด้วยเหตุผลที่พออธิบายได้ว่าในระยะเวลาดังกล่าวนี้ เป็นเวลาที่แลเห็นดวงอาทิตย์มีขนาดโตที่สุด และเป็นเวลาที่อากาศเริ่มเย็นสบาย หลังจากที่หมดฤดูฝนแล้ว ประเทศไทยเราอยู่ในย่านกลางของพื้นที่ดังกล่าว จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่า ชาติไทยเราได้มีวันขึ้นปีใหม่ตามคติดังกล่าวมาแต่โบราณกาล
จากการตรวจสอบในห้วงระยะเวลา 30 ปี จากปี พ.ศ. 2453 ถึงปี พ.ศ. 2483 พบว่าวันแรมหนึ่งค่ำ เดือนอ้าย เมื่อเทียบกับวันทางสุริยคติแล้วจะอยู่ในเดือนธันวาคม และส่วนใหญ่จะอยู่ห่างจากวันที่ 1 มกราคม ไม่เกิน 10 วัน ห่างกันมากที่สุด 30 วัน และห่างน้อยที่สุดเพียง 2 วัน เท่านั้น
อินเดียในสมัยโบราณก็ได้เคยใช้วันที่ 1 เดือนมกราคม เป็นวันขึ้นปีใหม่มาแล้ว เรียกว่ามกรสงกรานต์ การที่อินเดียในยุคต่อมาใช้เดือนจิตรมาส หรือเดือนเมษายน เป็นต้นปีนั้น มีที่มาจากฝ่ายเหนือของอินเดีย เพราะในพื้นที่บริเวณดังกล่าว เดือนเมษายนเป็นเดือนที่ลมฟ้าอากาศดีที่สุด มติได้แผ่เข้ามายังชนชาวไทย โดยพราหมณ์นำเข้ามาอิทธิพลของลัทธิพราหมณ์ในครั้งนั้น สูงมากพอจนทำให้ไทยเราหันไปใช้ตามแบบ พราหมณ์ในหลาย ๆ เรื่อง รวมทั้งวันขึ้นปีใหม่ด้วย โดยนับเดือนห้าเป็นต้นปี ทำให้เราต้องขึ้นปีใหม่ 2 ครั้ง คือขึ้นหนึ่งค่ำ เดือนห้า และวันสงกรานต์ ซึ่งจะเลื่อนไปมาในแต่ละปีไม่แน่นอน
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า ฯ ทรงเห็นความลำบากในกรณีดังกล่าว เมื่อไทยต้องมีการติดต่อกับ ต่างประเทศมากขึ้น ดังนั้น เมื่อปี พ.ศ. 2432 วันขึ้นหนึ่งค่ำ เดือนห้า ไปตรงกับวันที่ 1 เดือนเมษายน พอดี จึงได้มีประกาศบรมราชโองการ ให้ถือวันที่ 1 เดือนเมษายน เป็นวันขึ้นปีใหม่ของไทยตั้งแต่นั้นมา
ประเทศไทยได้เปลี่ยนวันขึ้นปีใหม่มาเป็นวันที่ 1 เดือนมกราคม เมื่อปี พ.ศ. 2484 ด้วยเหตุผลทั้งมวลที่ได้กล่าวมาแล้ว และที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือ บรรดานานาประเทศ ได้ใช้วันนี้เป็นวันขึ้นปีใหม่ ทำให้สมประโยชน์แก่ประเทศไทยด้วยประการทั้งปวง
 
ความหมายความหมายของวันขึ้นปีใหม่ ตามพจนานุกรม ฉบับราชตบัณฑิตยสถาน ให้ความหมายของคำว่า " ปี" ไว้ดังนี้ ปี หมายถึง เวลา ชั่วโลกโคจรรอบดวงอาทิตย์ครั้งหนึ่งราว 365 วัน : เวลา 12 เดือนตามสุริยคติ

ความเป็นมา
ในอดีต วันขึ้นปีใหม่ของไทยได้มีการเปลี่ยนแปลงมาแล้ว 4 ครั้งคือ ครั้งแรกถือเอาวันแรม 1 ค่ำ เดือนอ้าย เป็นวันขึ้นปีใหม่ซึ่ง ตรงกับเดือนมกราคม ครั้งที่ 2 กำหนดให้วันขึ้นปีใหม่ตรงกับวันขึ้น 1 ค่ำ เดือน 5 ตามคติพราหมณ์ ซึ่งตรงกับเดือนเมษายน

การกำหนดวันขึ้นปีใหม่ใน 2 ครั้งนี้ ถือเอาทางจันทรคติเป็นหลัก ต่อมาได้ถือเอาทางสุริยคติแทน โดยกำหนดให้วันที่ 1 เมษายน เป็นวันขึ้นปีใหม่ ตั้งแต่ พ.ศ.2432 เป็นต้นมา

อย่างไรก็ตาม ประชาชนส่วนใหญ่โดยเฉพาะตามชนบทยังคงยึดถือเอาวันสงกรานต์เป็นวันขึ้นปีใหม่อยู่ ต่อมาเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองมาเป็นระบอบประชาธิปไตย ทางราชการเห็นว่าวันขึ้นปีใหม่วันที่ 1 เมษายน ไม่สู้จะมีการรื่นเริงอะไรมากนัก สมควรที่จะฟื้นฟูขึ้นมาใหม่ จึงได้ประกาศให้มีงานรื่นเริงวันขึ้นปีใหม่ในวันที่ 1 เมษายน 2477 ขึ้นในกรุงเทพฯเป็นครั้งแรก


การจัดงานวันขึ้นปีใหม่ที่ได้เริ่มเมื่อวันที่ 1 เมษายน ได้แพร่หลายออกไปต่างจังหวัดในปีต่อๆ มา และในปี พ.ศ.2479 ก็ได้มีการจัดงานรื่นเริงปีใหม่ทั่วทุกจังหวัด วันขึ้นปีใหม่วันที่ 1 เมษายน ในสมัยนั้นทางราชการเรียกว่า วันตรุษสงกรานต์

ต่อมาได้มีการพิจารณาเปลี่ยนวันขึ้นปีใหม่อีกครั้งหนึ่ง โดยคณะรัฐมนตรีได้แต่งตั้งคณะกรรมการขึ้น ซึ่งมีหลวงวิจิตรวาทการเป็นประธานกรรมการ ที่ประชุมมีมติเป็นเอกฉันท์ให้เปลี่ยนวันขึ้นปีใหม่เป็นวันที่ 1 มกราคม โดยกำหนดให้วันที่ 1 มกราคม 2484 เป็น วันขึ้นปีใหม่เป็นต้นไป
เหตุผลที่ทางราชการได้เปลี่ยนวันขึ้นปีใหม่จากวันที่ 1 เมษายนมาเป็นวันที่ 1 มกราคม ก็คือ
1. ไม่ขัดกับพุทธศาสนาในด้านการนับวัน เดือน และการร่วมฉลองปีใหม่ด้วยการทำบุญ
2. เป็นการเลิกวิธีนำเอาลัทธิพราหมณ์มาคร่อมพระพุทธศาสนา
3. ทำให้เข้าสู่ระดับสากลที่ใช้อยู่ในประเทศทั่วโลก
4. เป็นการฟื้นฟูวัฒนธรรม คตินิยม และจารีตประเพณีของชาติไทย

กิจกรรมที่ชาวไทยส่วนใหญ่มักจะยึดถือปฏิบัติในวันขึ้นปีใหม่ได้แก่
1. การทำบุญตักบาตร โดยอาจตักบาตรที่บ้าน หรือไปที่วัดหรือตามสถานที่ต่างๆที่ทางราชการเชิญชวนไปร่วมทำบุญ
2. การกราบขอพรจากผู้ใหญ่ และอวยพรเพื่อนฝูง การมอบของขวัญ การมอบช่อดอกไม้ หรือการส่งบัตรอวยพร
3. การจัดงานรื่นเริง การจัดเลี้ยงในหมู่เพื่อนฝูง ญาติพี่น้องหรือตามหน่วยงานต่างๆ

วันขึ้นปีใหม่นับเป็นโอกาสดีที่จะทำให้เราได้ทบทวนถึงการดำเนินชีวิตในอดีต เพื่อจะได้แก้ไขข้อบกพร่องที่เกิดขึ้นในอดีตให้ดีขึ้น

กิจกรรม
วันที่ 1 มกราคมของทุกปี จะมีการทำบุญตักบาตรและอุทิศส่วนกุศลผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว ฟังเทศน์ ปล่อยปลา ปล่อยนก อวยพรซึ่งกันและกัน หรืออาจจะส่งการ์ดบัตรอวยพร ของขัวญไหว้ผู้ใหญ่เพื่อรับพร และสรงน้ำพระพุทธรูป ประดับธงชาติ และจะเตรียมทำความสะอาดบ้าน และที่พักอาศัย
 

ออกแบบสวนต้นไม้

จัดสวน

จัดสวน
ภาพประกอบบทความ "จัดสวน" การออกแบบสวนสวยให้กับบ้านของคุณ

“จัดสวน” การออกแบบสวนสวยให้กับบ้านของคุณ

การจัดสวนสวยภายในบ้าน เป็นสิ่งหนึ่งที่สำคัญ ที่จะช่วยเสริมความโดดเด่น และบรรยากาศที่รื่นรมย์ของบ้านได้เป็นอย่างมาก การจัดสวนด้วยพันธุ์ไม้นานาชนิด จะช่วยเพิ่มความเป็นธรรมชาติให้กับบ้าน ดังนั้นหากเราจะทำการจัดสวน จะต้องพิจารณาถึงพรรณไม้ที่เลือกมาปลูกในสวน ซึ่งอาจขอคำแนะนำจากบริษัทรับจัดสวน หรือบริษัทรับออกแบบสวนที่มีความเชี่ยวชาญในด้านนี้เป็นพิเศษ พรรณไม้แต่ละประเภทนั้น จะมีความเหมาะสมแต่ละแบบสวนที่ไม่เหมือนกัน เช่น พรรณไม้พุ่ม เหมาะสำหรับการจัดสวนที่ปลูกเป็นแนว ตัดแต่งพุ่มให้เป็นรูปทรงสวยงาม พรรณไม้คลุมดิน เหมาะสำหรับปลูกประดับจัดสวนหน้าดินให้เป็นระเบียบ พรรณไม้เลื้อย เหมาะสำหรับการจัดสวนที่มีซุ้มหลังคา หรือซุ้มระแนงไม้เป็นส่วนประกอบ พรรณไม้ยืนต้น เหมาะสำหรับปลูกจัดสวนเพื่อต้องการร่มเงา และสุดท้ายพรรณไม้น้ำ เหมาะสำหรับการจัดสวนที่มีบ่อน้ำเป็นส่วนประกอบ เพื่อสร้างสวนหย่อม หรือการจัดสวนที่สวยงาม น่าพักผ่อน สบายตา อาจเพิ่มเติมในเรื่องของการวางทางเดินเท้าเป็นพื้นระแนงด้วยก็ได้

จัดสวน
ภาพประกอบบทความ "จัดสวน" การเลือกพรรณไม้สำหรับสวนสวยที่บ้าน

“จัดสวน” การเลือกพรรณไม้สำหรับสวนสวยที่บ้าน

การเลือกพรรณไม้สำหรับการจัดตกแต่งสวนของคุณที่บ้านนั้น ควรเลือกไม้ชนิดที่ให้ความสดชื่น สร้างร่มเงา และเพิ่มความเป็นธรรมชาติให้กับบ้าน อีกทั้งยังต้องขึ้นอยู่กับรสนิยมของเจ้าของบ้านด้วย ซึ่งการออกแบบสวนสวยด้วยตัวเองนั้น อาจทำด้วยความชอบ หรือใจรักในการสร้างสรรค์ตกแต่ง หรือการไปเข้าคอร์สสอนจัดสวนแบบต่างๆ ที่เปิดสอนตามสถาบันที่เกี่ยวข้อง หรือร้านรับจัดสวน บริษัทรับจัดสวน รับออกแบบสวน ร้านจัดสวนหย่อม หรืออาจเลือกดูรูปแบบการจัดสวนได้จากนิตยสารจำพวกบ้านและสวนก็เป็นได้ โดยพรรณไม้ชนิดต่างๆ มีดังนี้ ไม้พุ่ม เหมาะสำหรับใช้ปลูกเป็นแนวและตัดแต่งพุ่มไม้ให้เป็นรูปทรงต่างๆ เช่น ต้นเทียนทอง ต้นเข็ม ต้นโมก เป็นต้น ไม้คลุมดิน เป็นไม้ที่
มีขนาดเล็กมักใช้ปลูกประดับหน้าดินให้สวยงาม เช่น หัวใจม่วง กระดุมทอง ผกากรองเลื้อย เป็นต้น ไม้เลื้อยเหมาะสำหรับใช้ปลูกในการจัดสวนที่มีซุ้มไม้ระแนง พื้นไม้ระแนง หรือซุ้มระแนงไม้หลังคาเป็นส่วนประกอบ เช่น อมรเบิกฟ้า พวงชมพู กระดังงา เป็นต้น ไม้ยืนต้น  เป็นไม้ขนาดใหญ่ที่มีอายุยืนมักนิยมปลูกเพื่อให้ร่มเงา ได้แก่ ต้นปีป ลั่นทม พญาสัตบรรณ เป็นต้น และไม้น้ำที่เหมาะสำหรับการจัดสวนที่มีบ่อน้ำเป็นส่วนประกอบ มักปลูกไม้น้ำในบ่อเพื่อเพิ่มความสวยงาม เช่น คล้าน้ำ กกร่ม หรือบัวชนิดต่างๆ เป็นต้น
จัดสวน
ภาพประกอบบทความ "จัดสวน" ขั้นตอนการเตรียมพื้นที่การจัดสวน

“จัดสวน” ขั้นตอนการเตรียมพื้นที่การจัดสวน

ขั้นตอนการเตรียมพื้นที่สำหรับการจัดสวน อาจขอคำแนะนำจากร้านรับจัดสวน บริษัทรับจัดสวน รับออกแบบสวน หรือร้านจัดสวนหย่อมได้ โดยเริ่มจากการเก็บวัชพืชและขยะในบริเวณที่จะทำการจัดสวนออกให้หมด เพื่อไม่ให้มารบกวนพรรณไม้ที่เราจะทำการปลูก จากนั้นให้เตรียมดินสำหรับการจัดสวนโดยทำการตรวจสอบชนิดของดินว่าเป็นดินชนิดไหน เช่น ดินร่วน ดินทราย หรือดินเหนียว แล้วเลือกพรรณไม้ที่เจริญเติบโตได้ดีในดินชนิดนั้นมาปลูก และก่อนปลูกควรผสมดินด้วยปุ๋ยธรรมชาติแล้วคลุกเคล้าให้เข้ากัน เพื่อช่วยเพิ่มสารอาหารให้กับดิน เสร็จแล้วจึงทำการปรับพื้นที่ในการจัดสวน เป็นการปรับระดับของดินให้มีความลาดเอียงเหล็กน้อยเพื่อไม่ให้มีน้ำขัง บริเวณโคนต้นไม้มากเกินไป เพราะอาจทำให้ของรากต้นไม้เน่าจนต้นไม้โตได้ไม่เต็มที่หรือตายได้

ของใช้ในบ้าน

เครื่องมือซ่อมแซมบ้าน

เทคนิคซ่อมบ้าน..ที่แม่บ้านก็ทำได้


การซ่อมผนังฉาบปูนที่แตกร้าว

ผนังฉาบปูนที่แตกร้าว มักเกิดขึ้นภายหลังการก่อสร้างเสมอ สาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากคานไม่สามารถรับน้ำหนักได้ ซึ่งทำให้คานหย่อนลงมา แล้วกดผนังก่ออิฐให้แตกร้าว , อาจเกิดจากส่วนผสมของปูนไม่สม่ำเสมอ , ปูนฉาบหนาไม่พอ , วัสดุก่อสร้างเสื่อมคุณภาพ หรือการปล่อยให้ปูนสูญเสียน้ำหลังจากการฉาบ เป็นต้น วิธีแก้ไขทำได้โดย

1. ให้สกัดผิวที่ร้าวกว้างอย่างน้อย 1/2 นิ้ว โดยให้ลึกถึงผิวอิฐ
2. หลังจากนั้นทำความสะอาดรอยสกัด แล้วราดน้ำให้ชุ่ม
3. ฉาบปูนทราย แล้วแต่งผิวให้เรียบ หากผนังมีน้ำซึมควรใช้วัสดุกันซึม เช่น น้ำยาอีพ็อกซี เป็นต้น
4. ทิ้งไว้ให้แห้ง แล้วทำการทาสีเพื่อปกปิดรอยซ่อม


การซ่อมพื้นคอนกรีตที่แตกร้าว

มักพบอยู่เสมอ สำหรับบ้านพักอาศัย หรือสำนักงานที่เทพื้นคอนกรีต ลักษณะการแตกคือ จะเป็นเส้นเล็กๆ คล้ายตาข่ายแบบสังคโลก ลักษณะเช่นนี้ไม่ทำให้พื้นเสียกำลังแต่จะทำให้ความสวยงามลดลง ส่วนรอย ร้าวที่ลึกลงไปจากผิวมากนั้น ควรให้ความสนใจอย่างมากว่าเกี่ยวข้องกับการส่วนโครงสร้างที่รับกำลังหรือไม่ เพราะจะ ทำให้เกิดการยุบพังลงได้ รอยแตกที่ไม่เกี่ยวข้องกับส่วนที่เป็นโครงสร้างของอาคารนั้น เราสามารถซ่อมแซมกันเองได้


1. ให้สกัดตามรอยร้าวลึกเข้าไปจากรอยเส้นประมาณ 1-2 นิ้ว
2. จากนั้นปัดฝุ่นที่สกัดออกให้หมด แล้วราดน้ำให้ชุ่ม ทิ้งผิวให้แห้ง
3. ผสมปูนทราย อัตราส่วน 1 ต่อ 2 โดย ปูน 1 ส่วน ทราย 2 ส่วนให้เข้ากันทิ้งไว้ให้หมาด
4. ฉาบปูนที่รอยแตก แต่ถ้ารอยแตกเป็นเส้นให้ใช้ปูนทราย
5. สุดท้ายแต่งผิวให้เรียบ ทิ้งไว้ให้แห้ง

การซ่อมกระเบื้องห้องน้ำ
โดยทั่วไปผนังห้องน้ำที่ปูด้วยกระเบื้องเคลือบ ไม่ว่าเก่าหรือใหม่ อาจเกิดการหลุดร่อนได้ ซึ่งอาจเกิดจากการปะกระเบื้องไว้ไม่ แน่นพอ หรืออาจเกิดมีการกระทุ้งผนังด้านในหรือนอก ทำให้กระเบื้องหลุดออกมาได้ การซ่อมแซมค่อนนั้นข้างจะยากเพราะ งานปูกระเบื้องต้องใช้ช่างผู้ชำนาญ แต่สำหรับปัญหาเล็กน้อยเช่น กระเบื้องหลุด 1-2 แผ่น เราก็พอจะสามารถทำเองได้

วิธีการซ่อมกระเบื้องห้องน้ำคือ

1. เตรียมผิวที่แตกโดยการนำสกัดปากแบน ค่อยๆสกัดให้ปูนเก่าออกให้หมดโดยรอบ ควรระวังไม่ให้กระเบื้องแผ่น อื่นหลุดออกมาอีก
2. จากนั้นทำความสะอาดผิว แล้วพรมน้ำให้ชุ่มทิ้งใว้หมาด
3. นำปูนทรายอัตราส่วน 1 ต่อ 1 ปาดใส่ส่วนที่สกัด
4. นำกระเบื้องที่ได้ทำการเลือกให้เข้ากับลวดลายหรือสีเดิมมาแปะลงไป ( แต่ก่อนทำการแปะควรแช่น้ำไว้ประมาณ 1 ชั่ว โมงก่อน )

การซ่อมพื้นปาเก้โมเสดไม้

ส่วนใหญ่เมื่อเกิดน้ำท่วมขึ้น จะทำให้ปาเก้หลุดร่อนเกิดความเสียหาย บางครั้งอาจจะหลุดร่อนทั้งพื้น หากเกิดเหตุการณ์เช่น นั้นควรให้ช่างมาตีราคาเพื่อซ่อม ไม่ควรคิดจะซ่อมเอง แต่หากเกิดการหลุดร่อนแค่ไม่กี่ชิ้นเราก็พอจะซ่อมแซมเองได้

สำหรับสาเหตุที่ทำให้ปาเก้หลุดร่อนมีดังนี้

1. เนื่องจากติดกาวไม่อยู่ หรือไม่ค่อยแน่น คือ เรียบขัดก่อนกาวแห้ง หรือทากาวไม่สม่ำเสมอ
2. มีน้ำขังบนพื้น เป็นเวลานานทำให้ไม้พองตัวโก่งตัวขึ้นมา
3. ปลวกกินไม้ ทำให้ไม้เป็นแอ่ง ไม่เรียบ หรือเป็นรอย ไม่สวยงาม

วิธีการซ่อมแซม ให้ทำดังนี้

1. ให้สำรวจว่าใช้ปาเก้ไม้ชนิดใด เช่น ไม้แดง ไม้สัก ไม้มะค่า หรือไม้เนื้อแข็งธรรมดา จัดซื้อใหม่ตามร้านรับปูปาเก้
2. เตรียมชิ้นไม้ให้แห้ง ซื้อกาวลาเท็กซ์หรือหากาวติดไม้มาใช้
3. เตรียมพื้นสำหรับการติดกาว โดยใช้สกัดปากแบนหรือไขควงเก่าๆ ขูดเอาเศษกาวเก่าออกให้หมดปัดฝุ่นให้สะอาด
4. ทากาวลาเท็กซ์ที่เตรียมไว้ป้ายให้หนาประมาณ 1-2 มิลลิเมตร นำชิ้นไม้ที่หลุดมานั้นสอดไว้ที่เดิม ค่อยๆ กด และ เคาะเบาๆ โดยต้องรักษาระดับผิวของไม้ให้เท่าเดิม
5. จากนั้นทิ้งไว้ให้กาวแห้งสนิท อย่างน้อย 15 วัน
6. นำกระดาษทรายเบอร์ 0 ที่ละเอียดมาขัดตามรอยต่อ ให้ชิ้นไม้เสมอกัน นำน้ำมันวานิชผสมทินเนอร์ทาบาง ๆ 2-3 ครั้งจนกระทั่งได้ระดับแล้วขัดด้วยกระดาษทรายอีกครั้งจบเรียบ
7. นำดินสอพองผสานแชลแลคตามสีที่ย้อมให้เหมือนกับของเดิม อุดเสี้ยนพอแห้งแล้วขัดกระดาษทรายอีกครั้ง ทาแชลแลคสีเดิม ย้อมผิวก่อน เอากระดาษทรายลูบแล้วจึงผสมน้ำมันเคลือบผิวไม้กับทินเนอร์ให้ใส ..เป็นอันเสร็จ

การซ่อมผิวเฟอร์นิเจอร์ด้วยเลคเกอร์

สำหรับผู้ที่มีเฟอร์นิเจอร์เก่า แล้วมีความสนใจที่ซ่อมแซมให้ดูใหม่ เช่นอยากให้ความเงางามเช่นเดิมแก่โต๊ะ เก้าอี้ จะต้องเตรียมอุปกรณ์ ดังนี้ เลคเกอร์ โดยประมาณจำนวนโดยคิดเทียบจาก เก้าอี้ 5 ตัวและโต๊ะอาคาร 1 ตัวใช้เลคเคอร์ประมาณ 1/2 แกลลอน ทินเนอร์ 1 แกลลอน กระดาษทรายเบอร์ 0 ประมาณ 12 แผ่น แปรงขนกระต่ายหรือแปรงทาแชลแลคสัก 2-3 อัน ชาม โลหะเคลือบสัก 2 ใบ หลังจากเตรียมอุปกรณ์พร้อมแล้วเริ่มซ่อมดังนี้

1. ให้ขัดกระดาษทรายให้ผิวเดิมหลุดออกให้มากที่สุด เพราะถ้าทาทับลงไปจะทำให้ผิวไม้ด่างแก้ไขยาก
2. แล้วผสมเลคเคอร์ลงในชามเคลือบอย่าให้ข้นมาก ทาลงไปก่อน 1 เที่ยว
3. ทิ้งไว้ให้แห้งประมาณ 30 นาที แล้วลูบดูหากผิวขรุขระหรือหยาบอยู่ให้ใช้กระดาษทรายขัดอีกาครั้งจนผิวเรียบ
4. ทาเลคเคอร์เป็นครั้งที่ 2 ทิ้งไว้ให้แห้ง
5. ทาเลคเคอร์เป็นครั้งที่ 3 บริเวณที่ต้องการให้ผิวมันเป็นพิเศษทิ้งไว้ให้แห้ง

การติดต่องานเพื่อสร้างอาคาร

ขั้นตอนการติดต่องานเพื่อสร้างอาคารมีขั้นตอนดังนี้

1. ให้ทำการตรวจสอบขนาดของที่ดินที่มีให้ตรงตามโฉนด โดยการวัดเทปและทดลองคำนวณดูว่า มีจำนวนว่ามีพื้นที่ตรงตาม ในโฉนด โดยคิดจาก 1 ไร่ มี 100 ตารางวา หรือ 1 ไร่มี 1,600 ตารางเมตร และ 1 ไร่มี 4 งาน หากไม่ตรงตามโฉนดให้แจ้ง สำนักงานที่ดินมาทำการรังวัดใหม่ให้ถูกต้อง

2. ติดต่อสถาปนิก เพื่อทำการออกแบบ ท่านจะต้องให้รายละเอียดสิ่งที่ท่านต้องการแก่สถาปนิกได้ทราบ เช่น
2.1 กำหนดงบประมาณในการก่อสร้าง
2.2 กำหนดความต้องการที่สร้าง ห้องนอนกี่ห้อง ห้องน้ำกี่ห้อง พื้นที่ใช้สอยเท่าใด ทำเป็นกี่ชั้น ต้องการ ลักษณะของความสวยงามอย่างไร ใช้วัสดุก่อสร้างแบบใด ซึ่งรายละเอียดดังกล่าวจะเป็นข้อมูลในให้ผู้ออกแบบ ออกแบบได้ตรงความต้องการและมีพื้นที่ใช้สอยมากที่สุด ด้วยหลักการที่ กูกต้อง ร่วมทั้งร่วมงานกับวิศวกร เพื่อคำนวณออกแบบโครงสร้างต่อไป
3. สถาปนิก หรือผู้ออกแบบร่างแบบให้ดู และอธิบาย พร้อมรูป Perspective หรืออาจทำหุ่นจำลองให้เจ้าของบ้านได้ดูเพื่อตัดสินใจจะแก้ไขหรือ เพื่อเติมอย่างใด
4. เมื่อออกแบบเสร็จ ผู้ออกแบบก็จะประมาณราคาซึ่งจะใกล้เคียงกับงบประมาณที่เจ้าของบ้านเคยกำหนด
5. เจ้าของนำแบบก่อสร้างไปมอบให้ผู้รับเหมาทำการคิดราคาก่อสร้าง อาจทำการเปิดประมูลเพื่อให้ได้ราคาที่ถูกที่สุด โดยอาจต้องไปดูผลงานในอดีตของผู้รับเหมา เพื่อประกอบการตัดสินใจ ในการเลือกผู้รับเหมา
6. เมื่อตกลงราคากับผู้รับเหมาเรียบร้อยตกลงทำสัญญาก่อสร้าง แล้วให้ผู้รับเหมาเสนอขออนุญาตปลูกสร้างอาคารที่ที่ว่าการกรุงเทพมหา นคร หรือสำนักงานเขต หรือที่ศาลากลางจังหวัด ตามแล้วว่าจะปลูกสร้างที่ไหน เพื่อตรวจให้ถูกต้องตามเทศบัญญัติงานที่วิศวกรรับรองแบบ หรืออาจยื่นด้วยตนเองก็ได้ แต่ให้ดีควรโทรไปที่ฝ่ายโยธาก่อนเพื่อสอบถามว่าต้องเอาหลักฐานอะไรไปบ้าง เพื่อไม่ให้เสียเวลา
7. เมื่ออนุญาตจึงจะลงมือก่อสร้างได้ ระหว่างสร้างต้องแสดงแบบและใบอนุญาตแก่ฝ่ายตรวจของที่ว่าการกรุงเทพ มหานคร ถ้าเป็นต่างจังหวัด สำหรับอำเภอเมือง เสนอต่อโยธาจังหวัด เพื่ออนุญาตต่อไป

วันคริสร์มาส

คริสต์มาส วันคริสต์มาส ประวัติวันคริสต์มาส ซานตาครอส เพลงคริสต์มาส เรื่องราววันคริสต์มาส ความเป็นมาวันคริสต์มาส ต้นคริสต์มาส
ประวัติวันคริสต์มาส
          คำว่า คริสต์มาส ภาษาอังกฤษเขียนว่า Christmas ดังนั้นอย่าลืม "ต์" อยู่ที่คำว่า คริสต์ (Christ) ไม่ใช่คำว่า "มาส" (Mas) Christmas มาจากภาษาอังกฤษโบราณว่า Christes Maesse แปลว่า บูชามิสซาของพระคริสตเจ้า โดยพบคำนี้ครั้งแรกในเอกสารโบราณในปี ค.ศ.1038 ภายหลังแปรเปลี่ยนมาเป็นคำว่า Christmas ประวัติความเป็นมาของวันคริต์มาส ซึ่งเป็นวันเกิดของพระเยซูนั้น ตามหลักฐานในพระคัมภีร์บันทึกไว้ว่า พระเยซูเจ้าประสูติในสมัยที่จักรพรรดิซีซ่าร์ ออกัสตัส แห่งโรมัน ซึ่งทรงสั่งให้จดทะเบียนสำมะโนครัวทั่วทั้งแผ่นดิน โดยฝ่ายคีรีนิอัส เจ้าเมืองซีเรียก็ขานรับนโยบาย อย่างไรก็ตามในพระคัมภีร์ ไม่ได้ระบุว่า พระเยซูประสูติวันหรือเดือนอะไร ด้านนักประวัติศาสตร์วิเคราะห์ว่า เดิมทีวันที่ 25 ธันวาคม เป็นวันที่จักรพรรดิเอาเรเลียนแห่งโรมัน กำหนดให้เป็นวันฉลองวันเกิดของสุริยเทพ โดยตั้งแต่ปีค.ศ.274 ชาวโรมันซึ่งส่วนใหญ่นับถือเทพเจ้าฉลองวันนี้เสมือนว่า เป็นวันฉลองของพระจักรพรรดิไปในตัวด้วย เพราะจักรพรรดิก็เปรียบเสมือนดวงอาทิตย์ ที่ให้ความสว่างแก่ชีวิตมนุษย์ แต่ชาวคริสต์ที่อยู่ในจักรวรรดิโรมัน รวมถึงชาวโรมันที่เปลี่ยนไปนับถือคริสต์อึดอัดใจที่จะฉลองวันเกิดของสุริยเทพ จึงหันมาฉลองการบังเกิดของพระเยซูเจ้าแทน หลังจากที่ชาวคริสต์ถูกควบคุมเสรีภาพทางศาสนาตั้งแต่ปีค.ศ.64-313 จนถึงวันที่ 25 ธันวาคม ปีค.ศ.330 ชาวคริสต์จึงเริ่มฉลองคริสต์มาสอย่างเป็นทางการและเปิดเผย สำหรับองค์ประกอบในงานฉลองวันคริสต์มาสมีความเป็นมาเช่นกัน เริ่มที่คำอวยพรว่า Merry Christmas สุขสันต์วันคริสต์มาส คำว่า Merry ในภาษาอังกฤษโบราณ แปลว่า สันติสุขและความสงบทางใจ จึงเป็นคำที่ใช้อวยพรคนอื่น ขอให้เขาได้รับสันติสุข และความสงบทางใจ เนื่องในโอกาสเทศกาลคริสต์มาส ต่อมาคือ "เพลง" ที่ใช้เฉลิมฉลองทั้งจังหวะช้าและจังหวะสนุกสนาน ส่วนใหญ่แต่งในยุคพระราชินีวิกตอเรียแห่งอังกฤษ (ค.ศ.1840-1900) ปัจจุบันแพร่หลายไปทั่วโลกโดยแปลเป็นภาษาต่างๆ มากมาย สำหรับ "ซานตาคลอส" เซนต์นิโคลัสแห่งเมืองมีรา สมัยศตวรรษที่ 4 ได้รับการขนานนามให้เป็นซานตาคลอสคนแรก เพราะวันหนึ่งท่านปีนขึ้นไปบนหลังคาบ้านของเด็กหญิงยากจนคนหนึ่งแล้วทิ้งถุงเงินลงไปทางปล่องไฟ บังเอิญถุงเงินหล่นไปทางถุงเท้าที่เด็กหญิงแขวนตากไว้ข้างเตาผิงพอดี ปิดท้ายที่ต้นคริสต์มาส หรือต้นสนที่นำมาประดับประดาด้วยดวงไฟหลากสีสัน ต้องย้อนไปศตวรรษที่ 8 เมื่อเซนต์บอนิเฟส มิชชันนารีชาวอังกฤษที่เดินทางไปประกาศเรื่องพระเจ้าในเยอรมนี ได้ช่วยเด็กที่กำลังจะถูกฆ่าเป็นเครื่องสังเวยบูชาที่ใต้ต้นโอ๊ก โดยเมื่อโค่นต้นโอ๊กทิ้งก็ได้พบต้นสนเล็กๆ ต้นหนึ่งขึ้นอยู่โคนต้นโอ๊ก ท่านจึงขุดให้คนที่ร่วมพิธีกรรมเหล่านั้นเพื่อเป็นสัญลักษณ์ของชีวิต และตั้งชื่อว่า ต้นกุมารพระคริสต์ ต่อมามาร์ติน ลูเธอร์ ผู้นำคริสตจักรชาวเยอรมัน ตัดต้นสนไปตั้งในบ้านในเดือนธันวาคม ปีค.ศ.1540 หลังจากนั้นในศตวรรษที่ 19 ต้นคริสต์มาสจึงเริ่มแพร่ไปสู่ประเทศอังกฤษและทั่วโลก

คริสต์มาส คือการฉลองการบังเกิดของพระเยซูเจ้า เราเฉลิมฉลองกันในวันที่ 25 ธันวาคม คำว่า คริสต์มาส เป็นคำทับศัพท์ภาษาอังกฤษ Christmas ซึ่งมาจากภาษาอังกฤษโบราณว่า Christes Maesse ที่แปลว่า บูชามิสซาของพระคริสตเจ้า เพราะการร่วมพิธีมิสซา เป็นประเพณี สำคัญที่สุด ที่ชาวคริสต์ถือปฎิบัติกันในวันคริสต์มาส คำว่า Christes Maesse พบครั้งแรกในเอกสาร โบราณ เป็นภาษาอังกฤษ ในปี ค.ศ. 1038 และคำนี้ก็แปรเปลี่ยนมาเป็นคำว่า Christmas คำทักทายที่เราได้ฟังบ่อย ๆ ในเทศกาลนี้คือ Merry Christmas คำว่า Merry ในภาษาอังกฤษโบราณ แปลว่า สันติสุขและความสงบทางใจ เพราะฉะนั้น คำนี้จึงเป็นคำที่ใช้อวยพร คนอื่น ขอให้เขาได้รับสันติสุข และความสงบทางใจ เนื่องในโอกาสเทศกาลคริสต์มาส

ต้นคริสต์มาส
          ในสมัยโบราณ "ต้นคริสต์มาส" หมายถึง ต้นไม้ในสวนสวรรค์ ซึ่งอาดัมและเอวาไปหยิบ ผลไม้มากิน และทำบาป ไม่เชื่อฟังพระเจ้า (ปฐก.3:1-6) ตั้งแต่ศตวรรษที่ 11 ชาวคริสต์แสดงละครที่ หน้าวัด ถึงความหมายของคริสต์มาส และเอาต้นไม้ต้นหนึ่งไว้ตรงกลาง เพื่อประดับฉาก แสดงถึงบาปกำเนิดของอาดัมและเอวา ต้นไม้ที่ใช้เป็นต้นสน เนื่องจากเป็นต้นไม้ ที่หาง่ายที่สุด ในประเทศ เหล่านั้น การแสดงละครคริสต์มาสแบบนี้ มีมาเป็นเวลาช้านานหลายร้อยปี จนถึงศตวรรษที่ 15 พระสังฆราชหลายแห่งได้ห้ามแสดง เนื่องจากการแสดงนั้น กลายเป็นการเล่นเหมือนลิเก ล้อชาวบ้าน ผู้ปกครองบ้านเมือง และศาสนา ซึ่งไม่ตรงกับบรรยากาศของการฉลอง ชาวบ้านรู้สึกเสียดาย ที่ไม่มีโอกาส ดูละครสนุกๆ แบบนั้นอีก จึงไปสนุกกันที่บ้านของตน โดยเอาต้นไม้มาไว้ที่บ้าน หลังจากนั้น ก็เริ่มมีการแขวนลูกแอปเปิ้ล ขนมและของขวัญอย่างที่เห็นอยู่ ทุกวันนี้ .....นอกจากนั้น ชาวเยอรมันยังมีประเพณีอีกอย่างหนึ่งคือ มีการจุดเทียนหลายเล่มเป็นรูปปิรามิด ไว้ตลอดคืนคริสต์มาส โดยมีดาวของดาวิดที่ยอดปิรามิด ซึ่งประเพณีที่จะแขวนของขวัญและขนม ก็ได้รวมกับประเพณีของชาวเยอรมันนี้ มาตั้งแต่ศตวรรษที่ 16 โดยเอาเทียนมาไว้ที่ต้นไม้ เป็นรูปทรงปิรามิด นี่เป็นที่มาของประเพณีปัจจุบัน ที่มีการแขวนของขวัญ และไฟกระพริบไว้ที่ต้นคริสต์มาส และมีดาวของดาวิดไว้ที่สุดยอด ประเพณีนี้ เป็นที่นิยมชมชอบของชาวตะวันตกอยู่มาก แม้ว่าประเพณีการตั้งต้นคริสต์มาส มีความเป็นมาดังกล่าว ชาวคริสต์ในสมัยนี้ ก็ยังนิยมทำกันอยู่ เพราะเห็นว่า มีความหมายถึงพระเยซูเจ้า ผู้เปรียบเสมือนต้นไม้แห่งชีวิต (ปฐก.2:9) ที่เขียวสดเสมอในทุกฤดูกาล ซึ่งหมายถึง นิรันดรภาพของพระเยซูเจ้า และนอกจากนั้นยังหมายถึง ความสว่างของพระองค์ เสมือนแสงเทียนที่ส่องในความมืด ทั้งยังหมายถึง ความชื่นชมยินดี และความสามัคคี ที่พระเยซูเจ้าประทานให้ เพราะต้นไม้นั้น เป็นจุดรวมของครอบครัวในเทศกาลนั้น

ซานตาครอส
          ซานตาคลอส เป็นจุดเด่นหรือสัญลักษณ์ ที่เด็กและผู้คนนิยมมากที่สุด ในเทศกาลคริสต์มาส แต่แท้ที่จริงแล้ว ซานตาคลอส แทบจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเทศกาลนี้เลย ชื่อซานตาคลอส มาจากชื่อนักบุญนิโคลาส ซึ่งเป็นนักบุญที่ชาวฮอลแลนด์นับถือ เป็นนักบุญองค์อุปถัมภ์ของเด็กๆ นักบุญองค์นี้ เป็นสังฆราชของไมรา (อยู่ในประเทศตุรกี ปัจจุบัน) มีชีวิตอยู่ราวศตวรรษที่ 4 เมื่อชาวฮอลแลนด์กลุ่มหนึ่ง อพยพไปอยู่ในสหรัฐ ก็ยังรักษาประเพณีนี้ไว้ คือ ฉลองนักบุญนิโคลาส ในวันที่ 6 ธันวาคม ซึ่งหมายถึง นักบุญนี้จะมาเยี่ยมเด็กๆ และเอาของขวัญมาให้ เด็กอื่นๆ ที่ไม่ใช่ลูกหลานของชาวฮอลแลนด์ ที่อพยพมา ก็รู้สึกอยากมีส่วนร่วมในประเพณีแบบนี้บ้าง เพื่อรับของขวัญ ประเพณีนี้ จึงเริ่มเป็นที่รู้จัก และแพร่หลายไปในอเมริกา โดยมีการเปลี่ยนแปลง บางอย่างคือ ชื่อนักบุญนิโคลาส ก็เปลี่ยนเป็นซานตาคลอส และแทนที่จะเป็นสังฆราช ซึ่งเป็นนักบุญ องค์นั้น ก็กลายเป็นชายแก่ที่อ้วน ใส่ชุดสีแดง อาศัยอยู่ที่ขั้วโลกเหนือ มีเลื่อนเป็นพาหนะ มีกวาง เรนเดียร์ลาก และจะมาเยี่ยมเด็กทุกคนในโลกนี้ ในโอกาสคริสต์มาส โดยลงมาทางปล่องไฟ ของบ้าน เพื่อเอาของขวัญมาให้เด็กเหล่านั้น อันที่จริง ซานตาคลอสเป็นรูปแบบที่น่ารัก เหมาะสำหรับเป็นนิยายให้เด็กๆ เชื่อ แต่อาจจะทำให้คนทั่วไปหันมาสนใจ ให้ความสำคัญในตัวนิยายนี้ แทนการบังเกิดของพระเยซูเจ้า ซึ่งเป็นจุดศูนย์กลางของเทศกาลคริสต์มาสนี้

อื่นๆ
          การให้ของขวัญในวันคริสต์มาส เป็นธรรมเนียมนี้ เริ่มกับชาวโรมที่เคยให้ของขวัญแก่เพื่อนในวันขึ้นปีใหม่ (มักจะเป็นผลไม้ ขนม หรือทองคำ) ต่อมาชาวอังกฤษถือ "วันกลอง" (ในวันที่ 26 ธันวาคม) เป็นวันที่ศิษยาภิบาลเคยเปิด "กลองทาน" ในโบสถ์ และแจกเงินให้สมาชิกที่ยากจน ต่อมาชาว อังกฤษก็ให้ของขวัญแก่พวกคนใช้ และเจ้าหน้าที่ต่างๆ ในวันนั้นด้วย ในทวีปยุโรป เด็กๆ มัก จะเข้าใจว่า พระกุมารเยซูเป็นผู้นำของขวัญมาให้เขา (แท้จริงแล้วพ่อแม่เป็นผู้ที่ให้ต่างหาก) แต่เด็กที่สหรัฐอเมริกามักจะคิดว่า "ซานตาคลอส" เป็นผู้ให้

          คืนก่อนวันคริสต์มาส หรือคริสต์มาสอีฟ จะมีงานแครอลลิ่ง ซึ่งจะมีเด็กๆ ไปร้องเพลงตามบ้าน ในคืนวันคริสต์มาส ผู้ที่นับถือศาสนาคริสต์ จะมารวมตัวกันที่โบสถ์เพื่อทำกิจกรรมร่วมกัน เช่นการแสดง ร้องเพลง

เพลงคริสต์มาส เพลงวันคริสต์มาส
          เพลงคริสต์มาส เริ่มมีขึ้นในศตวรรษที่ 5 ซึ่งในสมัยนั้น มีทั้งพระสงฆ์และฆราวาสเป็นผู้แต่ง ร้องเป็นภาษาลาติน ลักษณะของเพลงเป็นแบบสง่า เน้นถึงความหมายของการเสด็จมา ของพระเยซูเจ้า แต่ในศตวรรษที่ 12 ได้มีวิวัฒนาการใหม่ในด้านเพลงนี้ เริ่มในประเทศอิตาลี โดยนักบุญฟรังซิส อัสซีซี และนักบวชคณะฟรังซิสกัน เป็นผู้มีส่วนในการสนับสนุน ให้มีเพลงคริสต์มาสแบบใหม่ ซึ่งชาวบ้านชอบ คือมีท่วงทำนองที่ร่าเริงกว่า และเน้นถึงความชื่นชมยินดี ในโอกาสคริสต์มาสนี้ เพลงเหล่านี้เป็นภาษาลาติน และภาษาพื้นเมือง เพลงหนึ่งที่แต่งในสมัยนั้น (แต่งคำร้องในปี ค.ศ.1274) และยังใช้อยู่จนถึงปัจจุบัน คือ เพลง Oh Come, All Ye Faithful หรือ Adeste Fideles ในภาษาลาติน เพลงคริสต์มาส ที่เรานิยมร้องมากที่สุดในปัจจุบันได้แต่งขึ้นในศตวรรษที่ 19 จากประเทศเยอรมัน และประเทศอังกฤษเป็นส่วนใหญ่ เพลงที่มีชื่อเสียงมากได้แก่ เพลง Silent Night, Holy Night ความเป็นมาของเพลงนี้คือ วันก่อนวันฉลองคริสต์มาส ของปี ค.ศ.1818 คุณพ่อโจเซฟ โมห์ เจ้าอาวาสวัดที่โอเบิร์นดอฟ ประเทศออสเตรีย ได้ข่าวว่าออร์แกนในวันเสีย ทำให้วงขับร้อง ไม่สามารถร้องเพลงตามที่ซ้อมไว้ได้ คุณพ่อเองตั้งใจ จะแต่งเพลงคริสต์มาสใหม่ หลังจากแต่งเสร็จ ก็เอาไปให้เพื่อนคนหนึ่งชื่อ ฟรานซ์ กรูเบอร์ ที่อยู่หมู่บ้านใกล้เคียงใส่ทำนอง ในคืนวันที่ 24 นั้นเอง สัตบุรุษวัดนี้ ก็ได้ฟังเพลง Silent Night เป็นครั้งแรก โดยการเล่นกีตาร์ประกอบการขับร้อง ซึ่งกลายเป็นเพลงที่นิยมมากที่สุดทั่วโลก

วันภาษาไทยแห่งชาติ

ความเป็นมา

คณะกรรมการรณรงค์เพื่อภาษาไทย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ตระหนักในคุณค่าและความสำคัญของภาษาไทย และมีความห่วงใยในปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นต่อภาษาไทย และเพื่อกระตุ้นและปลุกจิตสำนึกให้คนไทยทั้งชาติได้ตระหนักถึงคุณค่าและความสำคัญของภาษาไทย ตลอดจนร่วมมือกันทำนุบำรุง ส่งเสริม และอนุรักษ์ภาษาไทยให้คงอยู่คู่ชาติไทยตลอดไป จึงได้เสนอขอให้รัฐบาลประกาศให้วันที่ ๒๙ กรกฎาคม ของทุกปี เป็นวันภาษาไทยแห่งชาติ เช่นเดียวกับวันสำคัญอื่นๆ ที่รัฐบาลได้จัดให้มีมาก่อนแล้ว เช่น วันวิทยาศาสตร์แห่งชาติและ วันสื่อสารแห่งชาติเป็นต้น และคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันอังคารที่ ๑๓ กรกฎาคม ๒๕๔๒ เห็นชอบให้วันที่ ๒๙ กรกฎาคม ของทุกปีเป็นวันภาษาไทยแห่งชาติ

เหตุผล

ประเทศไทยมีภาษาไทยเป็นภาษาประจำชาติ อันเป็นเอกลักษณ์ที่สำคัญอย่างหนึ่งของชาติ สมควรจะได้รับการทำนุบำรุงส่งเสริม และอนุรักษ์ไว้ให้ยั่งยืนตลอดไป

ทั้งนี้ในยุคปัจจุบันวิชาการและเทคโนโลยีต่างๆ ได้ก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็วเกิดเทคนิคใหม่ๆ ในการติดต่อสื่อสาร มี่มุ่งเน้นความสะดวกรวดเร็ว ส่งผลให้ภาษาไทยซึ่งเป็นสื่อกลางสำคัญในการติดต่อและผูกพันต่อการดำรงชีวิตประจำวันของคนไทยได้รับผลกระทบ ทั้งภาษาพูดและภาษาเขียน ทำให้ภาษาไทยเกิดการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมอย่างน่าวิตกเป็นอย่างยิ่ง สภาพการณ์เช่นนี้หากไม่เร่งรีบหาทางแก้ไขและป้องกันเสียแต่เนิ่นๆ การใช้ภาษาไทยของเราก็จะยิ่งเสื่อมลง จะส่งผลเสียหายต่อเอกลักษณ์และคุณค่าของภาษาไทยเป็นทวีคูณ

ทำไมจึงได้กำหนดให้วันที่ ๒๙ กรกฎาคม เป็น วันภาษาไทยแห่งชาติ

เพราะวันดังกล่าว ตรงกับวันที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้เสด็จพระราชดำเนินไปเป็นประธานและทรงร่วมอภิปรายในการประชุมทางวิชาการของชุมนุมภาษาไทย คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ณ ห้องประชุมคณะอักษรศาสตร์ เมื่อวันที่ ๒๙ กรกฎาคม ๒๕๐๕ ทรงเปิดการอภิปรายในหัวข้อ ปัญหาการใช้คำไทยทรงดำเนินการอภิปรายและทรงสรุปการอภิปรายอย่างดีเยี่ยม แสดงถึงพระปรีชาสามารถและความสนพระราชหฤทัยและความห่วงใยในภาษาไทย เป็นที่ประทับใจผู้เข้าร่วมการประชุมในครั้งนั้นเป็นอย่างยิ่ง นับเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวในประวัติศาสตร์ของวงการภาษาไทย ที่ได้รับพระราชทานพระมหากรุณาธิคุณดังกล่าว และในโอกาสต่อๆ มาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวยังได้ทรงแสดงความสนพระราชหฤทัยและความห่วงใยในภาษาไทยอีกหลายโอกาส เช่น ได้พระราชทานพระราชดำรัสเกี่ยวกับปัญหาในการใช้ภาษาไทยของประชาชนชาวไทยในปัจจุบัน ในวโรกาสที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ข้าราชการและองค์กรเอกชนเข้าเฝ้าถวายชัยมงคล เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา พุทธศักราช ๒๕๓๕ นอกจากนี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงย้ำให้ประชาชนชาวไทยตระหนักถึงความสำคัญของภาษาไทยและพระราชทานแนวความคิดในการอนุรักษ์ภาษาไทยในโอกาสต่างๆ อยู่เสมอ ที่สำคัญยิ่งกว่านี้ คือ เป็นที่ประจักษ์ว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระปรีชาญาณและพระอัจฉริยภาพในการใช้ภาษาไทยทรงรอบรู้ปราดเปรื่องถึงรากศัพท์ของคำไทย คือ ภาษาบาลีและสันสกฤต ทรงพระอุตสาหะวิริยะแปลและเรียบเรียงวรรณกรรมภาษาต่างประเทศเป็นภาษาไทยที่สมบูรณ์ด้วยลักษณะวรรณศิลป์ มีเนื้อหาสาระที่มีคุณค่าเป็นคติในการเสียสละเพื่อส่วนรวม และเป็นแบบอย่างแก่ประชาชนในการใช้ภาษาไทย ดังจะเห็นได้จากพระราชนิพนธ์แปลเรื่องนายอินทร์ผู้ปิดทองหลังพระ ติโต พระราชนิพนธ์แปลบทความเรื่องสั้นๆ หลายบท และพระราชนิพนธ์ เรื่อง พระมหาชนก นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณล้นเกล้าล้นกระหม่อมที่สุดมิได้แก่วงการ

วัตถุประสงค์

.   เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ผู้ทรงเป็นนักปราชญ์ และนักภาษาไทย รวมทั้งเพื่อน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ที่ได้ทรงแสดงความห่วงใยและพระราชทานแนวคิดต่างๆ เกี่ยวกับการใช้ภาษาไทย
.   เพื่อร่วมเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในมหามงคลสมัยเฉลิมพระชนมพรรษา ๖ รอบ ในวันที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๔๒
.   เพื่อกระตุ้นและปลุกจิตสำนึกของคนไทยทั้งชาติให้ตระหนักถึงความสำคัญและคุณค่าของภาษาไทย ตลอดจนร่วมมือร่วมใจกันทำนุบำรุงส่งเสริม และอนุรักษ์ภาษาไทย ซึ่งเป็นเอกลักษณ์และเป็นสมบัติวัฒนธรรมอันล้ำค่าของชาติให้คงอยู่คู่ชาติไทยตลอดไป
.   เพื่อเพิ่มพูนประสิทธิภาพในการใช้ภาษาไทย ทั้งในวงวิชาการและวิชาชีพ รวมทั้งเพื่อยกมาตรฐานการเรียนการสอนภาษาไทยในสถานศึกษาทุกระดับให้มีสัมฤทธิผลยิ่งขึ้น
.   เพื่อเปิดโอกาสให้หน่วยงานต่างๆ ทั้งภาครัฐบาลและเอกชนทั่วประเทศมีส่วนร่วมในการจัดกิจกรรมที่หลากหลาย เพื่อเผยแพร่ความรู้ภาษาไทยในรูปแบบต่างๆ ไปสู่สาธารณชนทั้งในฐานะที่เป็นภาษาประจำชาติ และในฐานะที่เป็นภาษาเพื่อการสื่อสารของทุกคนในชาติ

ประโยชน์ที่ได้รับจากการมี วันภาษาไทยแห่งชาติ

คาดว่าจะมีผลดีสืบเนื่องหลายประการ คือ
.   การมี วันภาษาไทยแห่งชาติจะทำให้หน่วยงานต่างๆ ทั้งภาครัฐบาลและเอกชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหน่วยงานในกระทรวงศึกษาธิการ และทบวงมหาวิทยาลัย ตระหนักในความสำคัญของภาษาไทย และร่วมกันจัดกิจกรรมเพื่อกระตุ้นเตือน เผยแพร่ และเน้นย้ำให้ประชาชนเห็นความสำคัญของ ภาษาประจำชาติของคนไทยทุกคน และร่วมมือกันอนุรักษ์การใช้ภาษาไทยให้มีความถูกต้องงดงามอยู่เสมอ
.   บุคคลในวงวิชาชีพต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการใช้ภาษาไทย โดยเฉพาะในวงการศึกษา และวงการสื่อสาร ช่วยกันกวดขันดูแลให้การใช้ภาษาไทยเป็นไปอย่างถูกต้อง เหมาะสม มิให้ผันแปรเปลี่ยนแปลง จนเกิดความเสียหายแก่คุณลักษณะของภาษาไทยอันเป็นเอกลักษณ์ของชาติ
.   ผลสืบเนื่องในระยะยาว คาดว่าปวงชนชาวไทยทั่วประเทศจะตื่นตัวและสนใจที่จะร่วมกันฟื้นฟู ทำนุบำรุง ส่งเสริมและอนุรักษ์ภาษาไทย อันเป็นเอกลักษณ์และสมบัติวัฒนธรรมที่สำคัญของชาติให้ดำรงคงอยู่คู่ชาติไทยตลอดไป