วันพฤหัสบดีที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2555

การดูแลรักษารถยนต์




**การดูแลกำลังและอัตราเร่ง** 

1 รักษาเครื่องยนต์ให้อยู่ในสภาพดี หัวเทียนหรือหัวฉีดที่สกปรกจะลดประสิทธิภาพน้ำมันได้ถึงร้อยละ 30 และทำให้สมรรถนะของรถยนต์ลดลง 
2 ตรวจสอบว่าหัวเทียนสะอาดและเปลี่ยนใหม่อยู่เสมอ หัวเทียนที่สึกหรอหรือหัวเทียนที่มีระยะจุดประกายไม่เหมาะสม จะทำให้มีโอกาสเกิดการจุดประกายไฟที่ไม่สม่ำเสมอมากขึ้น ส่งผลให้อัตราเร่งไม่คงที่และการขับขี่ที่กระตุกกระชากไม่นุ่มนวล 
3 ไม่บรรทุกของหนักโดยไม่จำเป็นในกระโปรงรถ น้ำหนักที่เพิ่มเข้ามาในรถจะเพิ่มภาระให้แก่เครื่องยนต์ในการขับเคลื่อน ส่งผลให้อัตราเร่งช้าลง น้ำหนักเพิ่มที่เพิ่มขึ้นทุกๆ 45 กก. จะทำให้สิ้นเปลืองน้ำมันเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 2 
4 นำรถยนต์เข้าตรวจเช็คสภาพอย่างสม่ำเสมอ ตรวจสอบให้แน่ใจว่าไส้กรองอากาศอยู่ในสภาพดี เนื่องจากความสกปรกที่สะสมอยู่อาจลดอัตราเร่งได้กว่าร้อยละ 10 

**การประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิง** 

5 ในการใช้น้ำมันแต่ละลิตร ไส้กรองอากาศจะต้องกรองอากาศถึง 10,000 ลิตร การเปลี่ยนไส้กรองอากาศที่อุดตันจะช่วยประหยัดน้ำมันได้ถึงร้อยละ 10 
6 ที่ความเร็ว 110กม./ชม. รถยนต์เผาผลาญน้ำมันมากกว่าการขับขี่ที่ความเร็ว 90กม./ชม. ถึงร้อยละ 25 
7 ความลู่ลมของรถยนต์เป็นหนึ่งในการประหยัดน้ำมันเช่นกัน ควรขับขี่รถยนต์โดยเปิดกระจกและเอารางใส่ของบนหลังคาออกเมื่อขับขี่ที่ความเร็วมากกว่า 60 กม./ชม. ยิ่งรูปทรงที่ลู่ลมมากจะช่วยประหยัดน้ำมันได้มากถึงร้อยละ 10 
8 ตรวจสอบลมยางอย่างสม่ำเสมอ ลมยางอ่อนทุกๆ 2 ปอนด์ต่อตารางนิ้ว ทำให้สิ้นเปลืองน้ำมันเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 1 และทำให้สึกหรอเพิ่มขึ้น 
9 ขับขี่ให้นุ่มนวลที่สุดเท่าที่จะทำได้ การขับขี่แบบกระตุกกระชากทำให้ประหยัดน้ำมันได้น้อยลงถึงร้อยละ 45 
10 ล้างและเคลือบเงารถยนต์อย่างสม่ำเสมอ รถยนต์ที่มีความเรียบบื่นมากขึ้น ช่วยประหยัดนำมันเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 6 ที่ความเร็วบนทางด่วน 

**การปล่อยไอเสีย** 

11 การขับขี่แบบกระตุกกระชากและการขับเร็ว (เกินกว่า 100 กม./ชม.) จะสิ้นเปลืองน้ำมันและก่อให้เกิดมลพิษมากกว่า การขับขี่แบบกระตุกกระชากทำให้สิ้นเปลืองน้ำมันเพิ่มขึ้น 10% 
12 ผลการสำรวจความคิดเห็นของช่างเครื่องยนต์ชี้ให้เห็นว่า รถยนต์ที่ได้รับการบำรุงรักษาดีจะมีอายุการใช้งานยืนยาวกว่ารถยนต์ที่ไม่ได้รับการดูแลถึง 50 % 
13 พยายามลดการใช้เครื่องปรับอากาศทุกครั้งที่มีโอกาส เช่นช่วงเวลากลางคืนควรเปิดแอร์เบาๆ 
14 อย่า"ย้ำ" หรือเหยียบคันเร่งขณะที่ติดเครื่อง เครื่องยนต์รุ่นใหม่ส่วนใหญ่มีเครื่องวัดจุดสตาร์ทเย็นที่ตั้งไว้ล่วงหน้าแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องเร่งเครื่อง 

**การขับขี่อย่างมั่นใจ** 

15 รักษาลมยางให้อยู่ในระดับที่ผู้ผลิตแนะนำ ลมยางอ่อนจะสิ้นเปลืองน้ำมันเพิ่มขึ้นถึง 3% และทำให้ยางสึกหรอเร็วขึ้น 
16 น้ำมันเครื่องคือสิ่งหล่อเลี้ยงชีวิตที่สำคัญของเครื่องยนต์ จึงต้องเปลี่ยนน้ำมันเครื่องและไส้กรองอย่างสม่ำเสมอโดยเฉพาะก่อนเดินทางไกล 
17 ไม่จำเป็นต้องอุ่นเครื่องยนต์ในตอนเช้าก่อนออกรถ แต่การขับอย่างนุ่มนวลคือสิ่งที่สำคัญที่สุด 

**สมรรถนะที่นุ่มนวล** 

18 วาล์วไอดีที่สกปรกจะลดสมรรถนะเครื่องยนต์ ที่ความเร็วรอบเครื่องยนต์ 2000 รอบ/นาที วาล์วไอดีในเครื่องยนต์ 4 สูบรุ่นใหม่ ซึ่งมี 4 วาล์วต่อ 1 สูบ จะเปิดและปิด 130 ครั้งต่อนาที 
19 รักษาเครื่องยนต์ให้มีสมรรถนะสูงสุด การจุดประกายไฟที่ไม่สม่ำเสมอจะลดประสิทธิภาพน้ำมันเชื้อเพลิง 30% ควรเปลี่ยนไส้กรองตามที่แนะนำไว้ในคู่มือ 
20 หัวฉีดน้ำมันที่สกปรกจะลดสมรรถนะเครื่องยนต์ ที่ความเร็วรอบเครื่องยนต์ 2000 รอบ/นาที รถยนต์ 4 สูบจะฉีดน้ำมัน 65 ครั้งต่อนาที
61.90.105.106     thong (thong) Welovetoyota #38 23 สิงหาคม 2552 , 12:49 น.


 ข้อความที่ 2



ยิ่งอ้วนยิ่งเปลือง 
รถไม่ใช่โกดังเก็บของ อะไรที่ไม่จำเป็นก็ไม่ควรเก็บไว้กับรถ เพราะน้ำหนักบรรทุกที่เพิ่มขึ้น เพียง 10 กิโลกรัม จะทำให้เปลือง ค่าน้ำมันมากขึ้นกว่า 60 บาท ต่อเดือน 


เร็วคุณภาพ 
เร็วอย่างมีคุณภาพ คือ ความเร็ว 90 กิโลเมตร/ชั่วโมง เพราะประหยัดน้ำมันได้มากที่สุด หากขับรถทางไกล แล้วชอบซิ่งด้วยความเร็ว 110 กิโลเมตร/ชั่วโมง ลองเปลี่ยนมาขับนิ่ม ๆ ที่ 90 ดู นอกจากจะช่วยให้ไม่ต้องเสี่ยงกับการถูกปรับแล้วยังช่วยประหยัด ได้ตั้ง 125 บาท ต่อเดือน 


ติดเครื่อง เปลืองแน่ 
หากชอบเปิดแอร์ นอนเล่น หรือชอบติดเครื่องตอนจอดคอย เพียงครั้งละ 10 นาที เดือนละ 10 ครั้ง นอกจากจะเปลือกน้ำมัน 45 บาท ต่อเดือนแล้ว น้ำมันที่เผาไหม้ไม่หมด ซึ่งอาจหลงเหลืออยู่ใน กระบอกสูบจะเป็นตัวการทำให้เครื่องยนต์สึกหรออีกด้วย 

ออกเร่ง เบรกดัง พังเร็ว 
การออกรถกระโชกกระชาก เลี้ยวอย่างเร็ว เบรกอย่างแรง เป็นฉนวนของอุบัติเหตุได้ง่าย และเป็นวิธีทำลายรถ อย่างได้ผลชะงัด เพราะทั้งเครื่องยนต์ เครื่องส่งกำลัง ผ้าเบรก และยางรถ จะชำรุดสึกหรอได้เร็วขึ้นทันตาเห็นเลย นอกจากนี้หากติดนิสัยชอบเร่งเครื่องแรง ๆ ตอนออกรถสักวันละ 10 ครั้ง จะเสียน้ำมันเปล่า ๆ เดือนละ 60 บาทอีก ด้วย 

ปิด แอร์ บ้างนะ 
รถที่ใช้ แอร์ จะสิ้นเปลืองน้ำมันเพิ่มขึ้นอย่างน้อยก็ร้อยละ 10 ขึ้นไป ถ้าเลือกเปิดได้ เฉพาะเวลาที่จำเป็น เช่น เช้า ๆ เปิดกระจกรับอากาศยามเช้าก็ไม่เลว ลดการใช้แอร์ลงแค่ 10% ของการใช้แอร์ตามปกติ ก็ประหยัดเงินได้อีก 40 บาท ต่อเดือนสบาย ๆ 

สูง-สูง ต่ำ-ต่ำ 
การใช้เกียร์ควรสัมพันธ์กับความเร็วรอบของเครื่องยนต์ (ก็เขาสร้างของเขามาอย่างนั้น) ความเร็วสูงยังฝืนลากเกยร์ต่ำ (เกียร์ 1,2) ความเร็วยังต่ำรีบไปใช้เกียร์สูง (เกียร์ 3,4,5) กำลังเครื่องก็ตก เครื่องก็รีบพังก่อนเวลาอันควร และจะสิ้นเปลือง กว่าปกติอีก 85 บาทต่อเดือน 

รักคลัตซ์อย่าเลี้ยงคลัตซ์ 
อย่าแช่คลัตซ์โดยไม่จำเป็น สิ้นเปลืองคลัตซ์ และน้ำมันเชื้อเพลิง ใช้เบรก หรือเบรกมือช่วยแทนดีกว่า เวลาหยุดควรเหยียบคลัต์ การเร่งเครื่องแรง ขณะออกรถโดยยังไม่ปล่อยคลัตซ์ไม่สุด หรือเข้าเกียร์แล้วยังวางเท้าบนแป้นเหยียบคลัตซ์ก็เป็นการ หาเรื่องอุปกรณ์ในระบบคลัตซ์สึกหรอ และเปลืองน้ำมันเปล่า ๆ ด้วย 

ไม่ติด ไม่คอย เข้าซอยลัด 
วางแผนในการขับรถล่วงหน้า เลือกเส้นทางลัดเพื่อประหยัดเวลา และอารมณ์ที่เสียเปล่า จากรถติด หรือหลงทาง ท่านอาจจะประหยัด ได้มากกว่าเดือนละ 420 บาท 

ไม่ “ เบิ้ล “ เอาเท่าไร 
ถ้าไม่อยากให้เครื่องยนต์สึกหรอเร็ว ก็อย่าเร่งเครื่อง หรือ “ เบิ้ล” น้ำมันโดยไม่จำเป็น ไม่ว่าจะเป็น ขณะจอดอยู่เฉย ๆ เปลี่ยนเกียร์ หรือก่อนดับเครื่องยนต์ จะช่วยให้ไม่สิ้นเปลืองน้ำมันอย่างสูญเปล่าอีก 20 บาท ต่อเดือน 

มองล่วงหน้า รักษาเบรก 
เตรียมตัวล่วงหน้าเมื่อจะถึงสี่แยก สัญญาณไฟ หรือป้ายสัญญาณ ช่วยให้ไม่ต้องเบรกอย่างพร่ำเพรื่อ และรุนแรง หรือเสี่ยงการเปลี่ยนช่องทางวิ่งบ่อย ๆ ซึ่งอาจทำใต้องเร่งเครื่องอย่างเร็ว และหยุดอย่างกระทันหัน จะเป็นการประหยัดน้ำมัน และรักษาผ้าเบรก จานเบรกไว้ใช้กันตอปาน ๆ 

ยางอ่อน 
การสูบลมยางให้เหมาะสมนอกจากจะประหยัด น้ำมันแล้ว ยังทำให้อายุยางยืนยาวขึ้นด้วย ลมยางที่อ่อนไปเพียง 4 ปอนด์ ต่อตารางนิ้ว ในช่วง 10 วัน ที่ละเลยจะทำให้เปลืองน้ำมัน เพิ่มขึ้นถึง 125 บาท 

คาร์บูเรเตอร์สกปรก 
ไม่มีใครชอบความสกปรก แม้แต่รถ หากใช้รถโดยที่คาร์บูเรเตอร์สกปรกเพียง 10 วัน จะเสียเงินค่าน้ำมันส่วนเกินอีก 210 บาท ไปฟรี ๆ 

หัวเทียนบอด 
หากหัวเทียนบอด หรือเสื่อมคุณภาพ รถยนต์จะวิ่งได้ระยะทางน้อยลง 0.85 กิโลเมตรต่อน้ำมัน 1 ลิตร ใน 10 วัน คิดเป็นน้ำมันสูญเสียประมาณ 125 บาท 

ไส้กรองอากาศอุดตัน 
ดูแลความสะอาดไส้กรองอากาศบ่อย ๆ และหากมีสิ่งอุดตันมาก ก็สมควรเปลี่ยนใหม่ ได้แล้วอย่าเหนียว ทั้งนี้เพราะไส้กรองอากาศ ที่อุดตันใน 1 เดือน จะทำให้รถสิ้นเปลือง น้ำมันประมาณ 210 บาท 

เบรกเสื่อม 
ระบบเบรกก็ควรได้รับการตรวจสอบดูแลด้วยเหมือนกัน หากผ้าเบรกเสียดสีจานล้ออยู่เสมอ ( เบรกติด หรือเบรกตาย หรือตั้งระยะไม่ถูกต้อง) จะเป็นผลให้ต้องใช้เชื้อเพลิงเพิ่มขึ้น ประมาณ 85 บาท ต่อเดือน 

น้ำมันเครื่องหมดอายุ 
น้ำมันเครื่อง เป็นเรื่องสำคัญของการบำรุงรักษารถ ควรเปลี่ยนน้ำมันเครื่อง และไส้กรอง น้ำมันเครื่องตามกำหนด เลือกใช้น้ำมันเครื่องเกรดให้ถูกต้องกับสภาพเครื่องยนต์ จะลดแรงเสียดทานภายในเครื่องยนต์ให้ดีขึ้น ทำให้สามารถประหยัดเชื้อเพลิงได้มากขึ้นด้วย 

แก็สโซฮอล์ 95 
“ แก็สโซฮอล์ พลังงานแอการพึ่งพาตนเองอย่างยั่งยืน” พึ่งพาตัวเองทางเศรษฐกิจ : สร้างมูลค่าเพิ่มให้ผลผลิตทางการเกษตร ทดแทนการนำเข้าสาร MTBE ลดการสูญเสียเงินตราต่างประเทศ และช่วยให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้น พึ่งพาตนเองด้านพลังงาน: เป็นพลังงานทดแทนบางส่วน จากเดิมที่ต้องสูญเสียเงินตราต่างประเทศเพื่อนำเข้าน้ำมัน เชื้อเพลิงทั้งหมด พึ่งพาตนเองทางสุขภาพและสิ่งแวดล้อม : ลดการเกิด มลภาวะจากการใช้น้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งจะช่วยให้คนไทย เผชิญกับมลภาวะน้อยลง มีสภาพแวดล้อมและคุณภาพชีวิตดีขึ้น 
61.90.105.106     Welovetoyota #0 23 สิงหาคม 2552 , 13:00 น.


 ข้อความที่ 3





เอามาฝากคับ... : วิธีดูแลรักษารถในเบื้องต้น 
ร่วมแสดงความคิดเห็น (3) 
ในระบบสตาร์ทรถยนต์โดยทั่วไป ทั้งเครื่องยนต์เบนซินและดีเซลที่กุญแจสตาร์ทจะต้องบิดกุญแจ 3 จังหวะ คือ AC , ON และ START ผู้ขับขี่บางท่านอาจจะปิดกุญแจรวดเดียว 3 จังหวะไปที่ START ถ้ารถท่านเป็นรถใหม่ก็อาจจะไม่มีปัญหาอะไร แต่ถ้ารถท่านผ่านการใช้งานมานาน ๆ อาจต้องสตาร์ทหลายครั้งก่อนที่เครื่องยนต์จะติด ซึ่งระหว่างที่ท่านสตาร์ทรถหลาย ๆ ครั้งนั้น ท่านกำลังทำลายระบบสตาร์ทให้อายุการใช้งานสั้นลง วันนี้เรามีคำแนะนำการสตาร์ทรถที่ถูกวิธี ท่านจะไม่ต้องมานั่งสตาร์ท แชะ แชะ แชะ ให้เสียฟอร์ม และยังเป็นการยืดอายุระบบสตาร์ทให้ใช้งานได้ ดีอีกนานแสนนาน ด้วยวิธีง่าย ๆ ดังนี้ 

1. ปิดอุปกรณ์ที่ใช้ระบบไฟทั้งหมดในรถ เช่น เครื่องปรับอากาศไฟหน้า และเครื่องเสียงต่าง ๆ เพื่อให้แบตเตอร์รี่จ่ายไฟเต็มที่ 

2. เหยีบครัชให้สุด (สำหรับเกียร์ AUTO ให้เข้าเกียร์ที่ตำแหน่ง N หรือ P เพื่อผ่อนแรงมอร์เตอร์สตาร์ท 

3. บิดกุญแจมาที่ตำแหน่ง ON ค้างไว้ ตราวจเช็คไฟเตือนต่าง (รายละเอียดให้ศึกษาจากคู่มือรถ) รอจนไฟเตือนหัวเผารูปขดสปริงเปลี่ยนจาก สีแดงเป็นสีเขียว หากเครื่องยนต์เย็นควรกดแป้นคันเร่ง 1 ครั้ง 

4. บิดกุญแจสตาร์ทเท่านี้คุณก็ไม่ต้องนั่งเสียฟอร์มสตาร์ทรถ แชะ แชะ แชะแล้ว 
ขอให้ทำจนเป็นนิสัยไม่ว่ารถเก่าหรือรถใหม่ หากทำตามวิธีนี้แล้วไม่ได้ผลให้ ท่านนำรถเข้าตรวจเช็คที่ศูนย์บริการหรือร้านซ่อมระบบไฟไดชาร์ท ไดสตาร์ทโดยทั่วไป 
124.120.143.135   lux (lux) Welovetoyota #50 10 กันยายน 2552 , 18:35 น.


 ข้อความที่ 4



หน้าที่ 1 - การดูแลรักษารถประจำวัน 
สำหรับผู้ใช้รถทุกท่าน การดูแลรักษาเครื่องยนต์ถือว่าเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการยืดอายุการใช้งานรถของคุณ ปรกติเราต้องตรวจตราดูแลรถยนต์อย่างสม่ำเสมอ อาจจะสัปดาห์ละครั้งสำหรับการดูแลอย่างละเอียด แต่ถ้าเป็นไปได้ถ้าเราหมั่นดูแลรถของเราทุกวันก็จะเป็นสิ่งที่ดีที่สุด ในปัจจุบันถึงแม้จะมีศูนย์ให้บริการดูแลรักษารถตามสถานที่ต่างๆ ตรวจเช็คระยะตลอดทุกๆ 10,000 กิโลเมตร แต่คุณจะแน่ใจได้อย่างไรว่ารถของคุณนั้นจะไม่เกิดปัญหาระหว่างทาง ทางที่ดีที่สุดคือความไม่ประมาท ควรจะหมั่นตรวจสอบอยู่เป็นระยะๆ เมื่อเกิดปัญหาจะได้ไม่บานปลายจนต้องเสียเงินไปอีกหลายพันจนถึงเป็นหมื่นๆบาท การดูแลรักษารถยนต์นั้นไม่ได้เป็นสิ่งที่ยุ่งยากและเสียเวลามากเลย เรามีข้อควรปฏิบัติอย่างง่ายสำหรับการดูแลรักษารถยนต์ประจำวันของคุณมานำเสนอครับ 

ประการที่1 
ที่จะต้องตรวจก็คือ ลมยาง ตรวจง่ายๆ ด้วยสายตาว่ามันแฟบอ่อนหรือเปล่า ดูทุกเส้นนะครับ เพระถ้าลมยางของแต่ละล้อไม่เท่ากันจะมีผลต่อการทรงตัวของรถ ทำให้เบรกปัด, วิ่งส่าย, รถแถไปด้านหนึ่ง เป็นที่มาของการเกิดอุบัติเหตุด้วย อาจจะทำให้อายุของยางสั้นลง จึงต้องควักกระเป๋าก่อนถึงเวลาอันควรด้วยนะครับ เพราะฉะนั้น ถ้าพบว่าแรงดันลมไม่เท่ากันต้องตรวจเติมให้เรียบร้อย 

ประการที่2 
ที่ต้องตรวจนั้นคือ ตรวจดูรอยหยดรั่วของน้ำและน้ำมันต่างๆใต้ท้องรถ ซึ่งก้มดูด้วยสายตาทำได้ง่ายๆครับ ถ้าพบว่ารั่วที่ล้อและเป็นน้ำมันเบรก จะต้องงดใช้งาน รีบปรึกษาช่าง และเมื่อตรวจพบว่าน้ำระบายความร้อนรั่วหยดให้หาที่มาของการรั่ว ถ้าเป็นข้อต่อก็ไขควงกวดอัดให้แน่น และถ้าพบรอยรั่วของน้ำมันเครื่อง น้ำมันเกียร์หรือน้ำมันเฟืองท้ายก็อย่างนิ่งนอนใจ เมื่อมีเวลาจะต้องนำไปปรึกษาช่างเพื่อทำให้รอยรั่วนั้นๆหมดไป ทั้งนี้เพื่อความปลอดภัยต่อกลไกดังกล่าวของรถยนต์นะครับ 

คราวนี้มาดูห้องเครื่องกันบ้างครับคือเครื่องยนต์และอุปกรณ์ในห้องเครื่องยนต์ 

ประการที่3 
คือการดูแลน้ำระบายความร้อน วิธีดูก็ไม่ได้ยุ่งยากเลยนะครับ เพียงตรวจโดยการเปิดฝาหม้อน้ำออก ถ้าพบว่าน้ำพร่องน้อยลงไปก็ใช้น้ำสะอาดเติมลงไปให้เต็ม สำหรับรถบางคันนะครับ ลองสังเกตุดูว่าถ้ามีขวดพลาสติกที่เก็บน้ำอยู่และมีท่อเล็กๆต่อไปถึงหม้อน้ำ ก็ไม่ต้องเปิดฝาหม้อน้ำนะครับ ให้ดูระดับน้ำที่ขวดเก็บน้ำสำรองแทน ถ้าน้ำยังอยู่ในระดับที่กำหนดก็ไม่ต้องเติม แต่ถ้าต่ำก็ให้เปิดฝาขวดเก็บน้ำสำรอง แล้วเติมน้ำสะอาดให้เต็มนะครับ เรื่องดูแลน้ำระบายความร้อนอย่าละเลย เพราะจะทำให้เครื่องยนต์ของท่านเสื่อมสภาพเร็วได้นะครับ 

ประการที่4 
ดูแลตรวจเติมระดับน้ำมันเครื่องนะครับ เพราะถ้าน้ำมันเครื่องพร่องหรือแห้งจะทำให้เกิดการสึกหรอภายในเครื่องยนต์ วิธีตรวจระดับน้ำมันเครื่องก็ไม่ยุ่งยากอะไรเลย เพียงแต่ดึงเหล็กวัดออกมาเช็ดทำความสะอาดแล้วใส่กดลงไปยังตำแหน่งของมันให้สุดจากนั้น ดึงออกมาตรงๆในแนวดิ่ง ระดับน้ำมันจะสักเกตได้จากรอยคราบน้ำมันที่เกาะอยู่ปลายเหล็กวัด น้ำมันจะต้องอยู่ระหว่างกลางขีดที่มีอักษร L (Low) และ F (Full) ถ้าต่ำจาก L ก็ให้เติมให้อยู่ในระดับเท่าเดิม และไม่ควรเติมจนเกินอักษร F เพราะจะทำให้ควันขาวจากน้ำมันเครื่องเข้ามาห้องเผาไหม้ และซคลเพลาข้อเหวี่ยงรั่วนะครับ ซึ่งก็ไม่เป็นผลดีต่อเครื่องยนต์เลย 

ประการที่5 
การตรวจเติมน้ำมันเบรกในกระบอกเก็บน้ำมันเบรกที่แม่ปั้มเบรก ถ้ามีระดับสูงก้ไม่ต้องเติมนะครับแต่พ้าพร่องต่ำกว่าขีดที่กำหนดให้เติมจนได้ระดับที่ถูกต้อง การเติมน้ำมันเบรกมีข้อควรระวังก็คือ อย่าให้น้ำมันเบรกหกราดโดนสีรถจำทำให้สีเสียหาย และถ้าหก ห้ามเช็ดนะครับ ให้ใช้น้ำราดให้เจือจาง เพราะจะทำให้สีเสียหายเป็นแผลทางยาวไปตลอดแนวที่เช็ด สำหรับน้ำมันเบรกนั้น ถ้าพร่องมากๆทุกวัน จะต้องรีบนำรถไปปรึกษาช่างนะครับ "เพราะเบรกคือชีวิต" มีชีวิตของใครบ้างหรือครับ ก็ชีวิตของท่าน และผู้ที่โดยสารมากับท่านรวมถึงผู้ร่วมใช้รถใช้ถนนกับท่านด้วย 

ประการสุดท้าย 
การบำรุงรักษาประจำวัน คือกระบอกคลัตช์น้ำมันจะต้องมีการตรวจเติมน้ำมันให้อยู่ในระดับที่ถูกต้อง กระบอกดังกล่าวอยู่ข้างๆกระบอกน้ำมันเบรกและน้ำมันที่เติมก็คือน้ำมันเบรกนั่นแหละ อย่าละเลยครับ เพราะถ้าน้ำมันหมดจะเข้าเกียร์ไม่ได้ นั่นคือรถวิ่งไม่ได้นั่นเอง 

เพียงท่านเสียสละเวลาเพียง 15 นาทีต่อวัน หมั่นดูแลรักษาสภาพเพียงเท่านี้ รถของท่านก็จะอยู่ไปกับเราได้อีกนานครับ 
และคราวหน้าผมจะมาพูดถึงเรื่อง ข้อควรปฏิบัติก่อนการสตาร์รถยนต์ครับ 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น