วันพฤหัสบดีที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2555

พระอภัยมณี

พระอภัยมณี
            วรรณคดีไทยเรื่องพระอภัยมณี ของสุนทรภู่ กวีเอกในสมัยต้นรัตนโกสินทร์ เป็นคำประพันธ์ประเภทคำกลอนที่มีความไพเราะ และมีคุณค่าทางวรรณคดีอย่างยิ่ง ได้มีการพิมพ์เผยแพร่เป็นทางการอย่างสมบูรณ์เป็นครั้งแรก เมื่อปี พ.ศ.๒๔๖๘ และได้มีการพิมพ์ เผยแพร่เป็นลำดับในเวลาต่อมาอีกหลายครั้ง
            ในบรรดาหนังสือบทกลอนที่สุนทรภู่ได้แต่งไว้ เป็นที่เห็นพ้องต้องกันว่า เรื่องพระอภัยมณีเป็นเรื่องที่ดีที่สุด เพราะเป็นหนังสือเรื่องยาว แต่งดีทั้งกลอนทั้งความคิดที่ผูกเรื่อง
            หนังสือเรื่องพระอภัยมณี ผิดกับหนังสือซึ่งผู้อื่นแต่งอยู่หลายประการ จะว่าไม่มีหนังสือเรื่องหนึ่งเรื่องใดมาเปรียบก็ได้ เป็นหนังสือดีแปลกจากเรื่องอื่น ๆ  กลอนของสุนทรภู่ก็แปลกจากกลอนของกวีอื่นซึ่งนับว่าดีในสมัยเดียวกัน ความคิดและโวหารก็แปลกจากหนังสือซึ่งผู้อื่นแต่ง และความที่คนทั้งหลายนิยมหนังสือพระอภัยมณีก็แปลกจากหนังสือเรื่องอื่น ๆ
            ข้อดีที่ยิ่งของหนังสือพระอภัยมณี อยู่ที่การแต่งพรรณนาอัชฌาสัยของบุคคลต่าง ๆ กันอย่างหนึ่ง คนไหนวางอัชฌาสัยไว้อย่างไรแต่แรก ก็คงให้อัชฌาสัยเป็นอย่างนั้นอยู่ทุกแห่งไปเมื่อกล่าวถึงในแห่งใด ๆ ต่อไปอีกอย่างหนึ่ง คำพูดจาว่ากล่าวกันด้วยความรักก็ดี ความโกรธแค้นก็ดี สุนทรภู่รู้จักหาถ้อยคำสำนวนมาว่าให้สัมผัสใจคน ใครอ่านจึงมักชอบจนถึงนำมาใช้เป็นสุภาษิต


ตอนที่ ๑ พระอภัยมณีกับศรีสุวรรณเรียนวิชา

   แต่ปางหลังยังมีกรุงกษัตริย์
สมมติวงศ์ทรงนามท้าวสุทัศน์ผ่านสมบัติรัตนานามธานี
อันกรุงไกรใหญ่ยาวเก้าสิบโยชน์ภูเขาโขดเป็นกำแพงบูรีศรี
สะพรึบพร้อมไพร่ฟ้าประชาชีชาวบุรีหรรษาสถาวร
มีเอกองค์นงลักษณ์อัครราชพระนางนาฏนามปทุมเกสร
สนมนางแสนสุรางคนิกรดังกินนรน่ารักลักขณา
มีโอรสสององค์ล้วนทรงลักษณ์ประไพพักตร์เพียงเทพเลขา
ชื่ออภัยมณีเป็นพี่ยาพึ่งแรกรุ่นชันษาสิบห้าปี
อันกุมารศรีสุวรรณนั้นเป็นน้องเนื้อดังทองนพคุณจำรูญศรี
พึ่งโสกันต์พรรษาสิบสามปีพระชนนีรักใคร่ดังนัยนา
สมเด็จท้าวบิตุรงค์ดำรงราชย์แสนสวาทลูกน้อยเสน่หา
จะเสกสองครองสมบัติขัตติยาแต่วิชาสิ่งใดไม่ชำนาญ
จึงดำรัสตรัสเรียกโอรสราชมาริมอาสน์แท่นสุวรรณแล้วบรรหาร
พ่อจะแจ้งเจ้าจงจำคำโบราณอันชายชาญเชิ้อกษัตริย์ขัตติยา
ยอมพากเพียรเรียนไสยศาสตร์เวทสิ่งวิเศษสืบเสาะแสวงหา
ได้ป้องกันอันตรายนคราตามกษัตริย์ขัตติยาอย่างโบราณ
พระลูกรักจักสืบวงศ์กษัตริย์จงรีบรัดเสาะแสวงแหล่งสถาน
หาทิศาปาโมกข์ชำนาญชาญเป็นอาจารย์พากเพียรเรียนวิชา ฯ
            เมื่อพี่น้องสองราชกุมารได้รับทราบแล้วก็ขอลาพระราชบิดาและพระราชมารดาไปตามพระราชประสงค์ กษัตริย์ทั้งสองพระองค์ก็ได้ทรงสั่งสอนว่า
จะเดินทางกลางป่าพนาดรจงผันผ่อนตรึกจำคำโบราณ
จะพูดจาสารพัดบำหยัดยั้งจนลุกนั่งน้ำท่ากระยาหาร
แม้นหลับนอนผ่อนพ้นที่ภัยพาลอดบันดาลโกรธขึ้งจึงสบาย
            ทั้งสองราชกุมารได้เดินทางไปในป่าได้สิบห้าวันก็มาถึงตำบลหนึ่งเรียกว่า บ้านจันตคาม มีทิศาปาโมกข์อยู่สองคน คนหนึ่งชำนาญในการยุทธ เมื่อมีอาวุธซัดมาดังห่าฝน ก็สามารถรำกระบองป้องกันไม่ให้อาวุธต้องกายตนได้ อีกคนหนึ่งชำนาญในการปี่ และการดีดสีได้ไพเราะอย่างยิ่ง ผู้ใดได้ฟังก็จะเคลิ้มหลับลืมกายดังวายปราณ
            อาจารย์ทั้งสองได้เขียนหนังสือไว้ที่หน้าบ้านว่า ผู้ใดต้องการเรียนวิชาของตนจะต้องมีทองแสนตำลึงมาให้ เมื่อทั้งสองราชกุมารทราบความแล้ว ก็ตกลงใจที่จะเรียนวิชากับอาจารย์ทั้งสอง โดยที่ศรีสุวรรณรักที่จะเรียนวิชารำกระบอง ส่วนพระอภัยมณีรักที่จะเรียนวิชาเพลงดนตรี โดยเอาธำมรงค์ที่ใส่นิ้วมา ตีราคาแสนตำลึงทอง เป็นค่าเล่าเรียน
            ฝ่ายอาจารย์ของพระอภัยพาพระอภัยไปยอดเขาให้เป่าปี่ใช้เวลาประมาณเจ็ดเดือนก็เรียนจบ
สิ้นความรู้ครูประสิทธิ์ไม่ปิดบังจึงสอนสั่งอุปเท่ห์เป็นเล่ห์กล
ถ้าแม้นว่าข้าศึกมันโจมจับจะรบรับสารพัดให้ขัดสน
เอาปี่เป่าเล้าโลมน้ำใจคนด้วยเล่ห์กลโลกาห้าประการ
คือรูปรสกลิ่นเสียงเคียงสัมผัส เกิดกำหนัดลุ่มหลงในสงสาร
ให้ใจอ่อนนอนหลับดังวายปราณจึงคิดอ่านเอาชัยเหมือนใจจง
ฯลฯ
            แล้วอาจารย์ก็คืนแหวนให้พระอภัย แล้วบอกว่าที่ตั้งราคาไว้แสนตำลึงทองนั้น ก็ป้องกันมิให้ไพร่ได้วิชา ต่อเมื่อเป็นกษัตริย์หรือเศรษฐีจะสามารถศึกษาวิชานี้ได้
            ฝ่ายศรีสุวรรณได้ศึกษากลอาวุธจนสิ้นความรู้ของอาจารย์ แล้วอาจารญืก็คืนแหวนให้และบอกปริศนาไขข้อความเช่นเดียวกับอาจารย์ของพระอภัย ทั้งสองราชกุมารก็เดินทางกลับกรุงรัตนาเข้าเฝ้าพระราชบิดา แจ้งผลการศึกษาของตนให้ทรงทราบ ท้าวสุทัศน์ได้ทรงทราบแล้วก็ทรงพิโรธ เห็นว่าวิชชาที่เรียนมานั้นไม่สมควรแก่ราชกุมาร ออกปากขับไล่ไปเสียจากเมือง
            ฝ่ายสองราชกุมารได้รับความอัปยศอดสู จึงพากันออกจากเมืองเข้าสู่ป่า แล้วหารือกันถึงความยากลำบากที่จะประสบต่อไปในอนาคต พระอนุชาได้กล่าวแก่พระเชษฐาว่า
   พระอนุชาว่าพี่นี้ขี้ขลาดเป็นชายชาติช้างงาไม่กล้าหาญ
แม้นชีวันยังไม่บรรลัยลาญก็เซซานซอกซอนสัญจรไป
เผื่อพบพานบ้านเมืองที่ไหนมั่งพอประทังกายาอยู่อาศัย
มีความรู้อยู่กับตัวกลัวอะไรชีวิตไม่ปลดปลงคงได้ดี
ฯลฯ
            จากนั้นทั้งสองกุมารก็ปลอมตนเป็นสามัญชน เดินทางไปในป่าได้เดือนเศษ มาถึงเนินทรายชายทะเล ก็หยุดพักผ่อนอยู่ ณ ที่นั่น
            กล่าวถึงบุตรพราหมณ์สามมาณพเป็นสหายกัน คนหนึ่งชื่อ โมรา มีวิชาเอาหญ้ามาผูกเป็นสำเภายนต์ แล่นไปบนดินได้ คนหนึ่งชื่อ สานน มีวิชาเรียกลมฝนได้  คนหนึ่งชื่อ วิเชียร  มีวิชาใช้ธนูสามารถยิ่งออกไปได้ทีละเจ็ดลูก จะให้ถูกตรงไหนก็ได้ทั้งสิ้น ทั้งสามมาณพได้มาพบสองราชกุมารที่เนินทรายชายทะเลดังกล่าว ได้ทำความรู้จักและไต่ถามวิชาความรู้ซึ่งกันและกัน เป็นที่เข้าใจกันดี ยกเว้นวิชาเป่าปี่ของพระอภัย ว่าจะมีคุณประการใด พระอภัยจึงอธิบายให้ฟัง
   พระฟังความพราหมณ์น้อยสนองถามจึงเล่าความจะแจ้งแถลงไข
อันดนตรีมีคุณทุกอย่างไปย่อมใช้ได้ดังจินดาค่าบุรินทร์
ถึงมนุษย์ครุฑาเทวราชจตุบาทกลางป่าพนาสิณฑ์
แม้ปี่เราเป่าไปให้ได้ยินก็สุดสิ้นโทโสที่โกรธา
ให้ใจอ่อนนอนหลับลืมสติอันลัทธิดนตรีดีหนักหนา
ฯลฯ
            แล้วพระอภัยก็เป่าปี่ให้คนทั้งหมดฟัง  มีความว่า
   ในเพลงปี่ว่าสามเจ้าพราหมณ์เอ๋ยยังไม่เคยชมชิดพิสมัย
ถึงร้อยรสบุปผาสุมาลัยจะชื่นใจเหมือนสตรีไม่มีเลย
            คนทั้งหมดได้ฟังแล้วก็พากันหลับไป


ตอนที่ ๒ นางผีเสื้อลักพระอภัยมณี

   จะกล่าวถึงอสุรีผีเสื้อน้ำ อยู่ท้องถ้ำวังวนชลสาย
ได้เป็นใหญ่ในพวกปีศาจพราย สกนธ์กายโตใหญ่เท่าไอยรา
ฯลฯ
            เมื่อตกเย็นนางผีเสื้อน้ำได้ขึ้นมาเล่นน้ำ จนเข้ามาใกล้ฝั่งที่พระอภัยกำลังเป่าปี่อยู่ นางได้ยินเสียงเพลงปี่แล้ว ก็เกิดเสน่หาอาวรณ์ เห็นพระอภัยนั่งเป่าปี่ก็เกิดความรัก ตรงเข้าอุ้มพระอภัยไปไว้ยังถ้ำทองของตน แล้วแปลงร่างตนเป็นมนุษย์ เมื่อพระอภัยตื่นฟื้นขึ้นมาเห็นผีเสื้อแปลงกายเป็นมนุษย์ ก็รู้ว่าเป็นยักษ์ แล้วต่อว่านางผีเสื้อว่า ตนเป็นมนุษย์ไมคู่ควรกับยักษ์ แต่นางผีเสื้อก็ยังเจรจาหว่านล้อมให้ยอมเป็นสามี ทำให้พระอภัยไม่พอใจอย่างมาก แต่ก็ทำเป็นมีไมตรีต่อนาง
  พระสุดแสนแค้นเคืองรำคาญจิต เป็นสุดคิดสุดที่จะหนีหาย
ให้อักอ่วนป่วนใจไม่สบายมันกอดกายเซ้าซี้พิรี้พิไร
จะยั่งยืนขืนขัดตัดสวาทไม่สังวาสเชยชิดพิสมัย
ก็จะสะบักสะบอมตรอมฤทัยต้องแข็งใจกินเกลือด้วยเหลือทน
ฯลฯ
  พระฟังคำจำจิตพิสวาทฝืนอารมณ์สมพาสทั้งโศกเศร้า
การโลกีย์ดีชั่วย่อมมัวเมาเหมือนอดข้าวกินมันกันเสบียง
ฯลฯ
สมพาสยักษ์รักร่วมภิรมย์สมเหมือนเด็ดดอกหญ้าดินพอได้กลิ่น
เป็นนิสัยในภพธรณินทร์ไม่สุดสิ้นเสน่ห์ประเวณี ฯ


ตอนที่ ๓ ศรีสุวรรณเข้าเมืองรมจักร์
            ศรีสุวรรณกับสามพราหมณ์ตื่นขึ้นมาไม่เห็นพระอภัย เห็นแต่รอยเท้าของผีเสื้อก็เสียใจ สานนจับยามสามตาดูก็รู้ว่า พระอภัยถูกสตรีพาไปทางทิศอาคเนย์ในทะเลลึก และได้รับการอุปถัมภ์ด้วยดี เมื่อหมดเคราะห์แล้วก็จะได้พบกัน จากนั้นทั้งหมดจึงได้ลงเรือสำเภากลให้โมราเป็นต้นหน เรือได้แล่นมาถึงเมืองรมจักร จึงพากันเข้าเมืองได้พบกับนายด่าน สอบถามได้ความว่า
อันองค์ผู้ดำรงอาณาราษฎร์นามพระบาทท้าวทศวงศา
มีโฉมยงองค์ราชธิดาชื่อนางแก้วเกษราวิลาวัณย์
ฯลฯ
กรุงกษัตริย์ขัตติยาทุกธานีมาสู่ขอภูมีไม่ให้ใคร
เมื่อปีกลายฝ่ายท้าวอุเทนราชเป็นเชื้อชาติชาวชวาภาษาไสย
อานุภาพปราบทั่วทุกกรุงไกรเป็นเมืองใหญ่กว่ากษัตริย์ขัตย์ติวงศ์
ให้ทูตามาสนองละอองบาทจะขอราชธิดาโดยประสงค์
แม้นไม่ให้จะประจญรณรงค์กับผู้พงศ์จักรพรรดิ์ขัตติยา
ข้างเจ้านายฝ่ายเรามิได้ให้ว่าท้าวไทเป็นคนนอกพระศาสนา
ฯลฯ
            จากนั้น นายด่านก็ชักชวนให้สามมาณพ และราชกุมารพักอยู่ก่อน ต่อเมื่อมีเรือผ่านมาจะได้ฝากให้ไปกับเรือนั้น เพื่อกลับถิ่นฐาน สามมาณพและราชกุมารขออยู่ชมเมืองก่อน นายด่านก็พาไปชมเมือง พระพี่เลี้ยงทั้งสี่ของพระธิดาได้ทราบความว่า มีพราหมณ์รูปงามอยู่ในเมือง ก็ให้หาตัวไปพบเห็นพราหมณ์น้อยรูปงาม ก็เกิดความหลงไหล เห็นว่าคู่ควรกับพระธิดา จึงพาบรรดาพราหมณ์น้อยมาคุมไว้ แล้วไปเฝ้าราชธิดาแจ้งเรื่องว่า ได้พบพราหมณ์หนุ่มน้อยรูปงามในความฝัน ราชธิดารู้ทันจึงบอกว่า
ถึงจีนจามพราหมณ์แขกที่แปลกชาติพี่สวาทแล้วมาเปรียบประเทียบฉัน
แกล้งลวงเล่นเห็นรู้ไม่เท่าทัน แต่เช่นนั้นแล้วอย่านึกคะนึงปอง
ฯลฯ 


ตอนที่ ๔ ศรีสุวรรณพบนางเกษรา

            นางแก้วเกษรา เมื่อถึงคราวจะได้คู่ได้สุบินนิมิต เมื่อตอนใกล้รุ่งจึงเรียกสี่พี่เลี้ยงมาเล่าความฝันให้ฟังว่า
ฉันฝันว่าวาสุกรีอันเกรียงไกรเข้ามาในแท่นสุวรรณอันบรรจง
เกี่ยวกระหวัดรัดรอบอุราน้อง ฉันร่ำร้องอยู่บนเตียงจนเสียงหลง
ฯลฯ
            พี่เลี้ยงได้ฟังก็รู้ความ แต่จะบอกไปตรง ๆ ก็กลัวจะโกรธ จึงให้อ่านตำราฝัน ทายงูว่าจะได้คู่ ราชธิดาได้ฟังก็เกิดเขินอาย ต่อว่าพี่เลี้ยงที่ให้อ่านตำราฝัน แล้วไม่ยอมพูดด้วย
            พี่เลี้ยงทั้งสี่ได้ออกไปพบสามมาณพกับราชกุมาร ดูแลทุกข์สุขเมื่ออยู่กับคนเฝ้าสวนสองคนตายาย แล้วกลับมารอเวลาจนเย็น จึงไปชวนราชธิดาไปชมสวนในเช้าวันรุ่งขึ้น
   ฝ่ายพระนุชบุตรีศรีสวัสดิ์จิตกำหนัดนึกคะนึงถึงบุปผา
บรรทมตื่นแต่งองค์อลงการ์ ผลัดภูษาจัดจีบกลีบประจง
ทรงสะพักสไบกรองลายทองริ้วสัมผัสผิวพระนลาฏวาดขนง
สร้อยสังวาลบานพับประดับองค์ดังอนงค์นางสวรรค์ชั้นโสฬส
ฯลฯ
            แต่งองค์เสร็จแล้วจึงไปทูลลาพระบิดาไปเล่นอุทยาน แล้วจึงพากันไปอุทยาน
            ศรีสุวรรณกับสามพราหมณ์พี่เลี้ยงเห็นนางในนับร้อยมาเที่ยวอุทยาน จึงชวนกันมาที่สวนขวัญตามที่ได้นัดแนะพี่เลี้ยงทั้งสี่นางเอาไว้ ได้เห็นพระธิดาเดินทางมาท่ามกลางสี่พี่เลี้ยง ก็ตกตะลึงในความงามของพระธิดาที่เพิ่งรุ่นสาวอายุสักสิบสี่ปี ฝ่ายศรีสุวรรณนั้น
ชำเลืองเห็นพระธิดาพะงางามให้มีความพิสวาสจะขาดใจ
ด้วยคู่สร้างปางหลังแล้วอย่างนั้นพอเห็นกันก็ให้คิดพิสมัย
ฯลฯ
            ส่วนพระธิดานั้น เมื่อเห็นพราหมณ์น้อย
พอเนตรน้องต้องเนตรหน่อกษัตริย์ หวนประหวัดหวาดจิตคิดสงสัย
องค์ระทวยขวยเขินสะเทิ้นใจแฝงต้นไม้เมียงชม้อยคอยชายตา
ฯลฯ
            ทั้งศรีสุวรรณและราชธิดา เมื่อได้พบเห็นกันดังกล่าวก็เกิดการอาลัยอาวรณ์ซึ่งกันและกัน
ความอาลัยใจวาบให้ปลาบปลื้มตะลึงลืมหลงแลชะแง้หา
พระบุตรีลีลาศชำเลืองมาไม่เห็นหน้าพราหมณ์น้อยละห้อยใจ
พระพักตร์ผ่องหมองเหมือนเดือนพยับด้วยจิตจับถึงมิตรพิสมัย
ลืมบรรดาข้าหลวงพวงดอกไม้ถอนฤทัยทุกข์ถึงคะนึงครวญ
ฯลฯ
พระกอดเข่าเศร้าสร้อยละห้อยหวนจนหลงครวญขับลำเป็นคำหวาน
โอ้เจ้าแก้วเกษรายุพาพาลไม่สงสารพี่บ้างหรืออย่างไร
เมื่อผันแปรแลพบก็หลบพักตร์ จะเห็นรักหรือไม่เห็นเป็นไฉน
บุราณว่ามิตรจิตก็มิตรใจจะกระไรอยู่มั่งยังไม่เคย
ฯลฯ 


ตอนที่ ๕ ศรีสุวรรณเกี้ยวนางเกษรา

            ฝ่ายพระบุตรีเมื่อกลับมาถึงวังก็เฝ้าแต่ถวิลหาเจ้าพราหมณ์น้อย สี่พี่เลี้ยงรู้ความก็ปรึกษาหารือกัน แล้วก็พากันขับกล่อมพระบุตรีให้บรรทมด้วยข้อความอันเกี่ยวเนื่องด้วยเจ้าพราหมณ์น้อย พระธิดาได้ฟังขับก็จับจิตแล้วจึงแสร้งต่อว่าสี่พี่เลี้ยงที่ชักนำให้เกิดเหตุการณ์ที่ผ่านมา
            ฝ่ายศรีสุวรรณก็พร่ำเพ้อถึงนางแก้วเกษราอยู่ตลอดราตรี จนสามพราหมณ์มาณพต้องเตือนว่า
พี่บอกแล้วไม่เชื่อนั้นเหลือใจหนักอะไรจะเหมือนรักหนักอุรา
หลงอะไรจะเหมือนหลงทรงมนุษย์ที่โศกสุดเศร้าแสนเสน่หา
จนลืมตัวมัวหมองเพราะต้องตา ต้องตรึกตราตรอมจิตเพราะปิดความ
บุราณว่าถ้าเหลือกำลังลากให้ออกปากบอกแขกช่วยแบกหาม
แม้นพ่อบอกออกบ้างไม่พรางความจะเป็นล่ามแก้ไขให้ได้การ ฯ
            วันรุ่งขึ้น ศรีสุวรรณก็ชวนสามพราหมณ์มาณพไปที่สวนขวัญ คอยพบสี่พี่เลี้ยงเพื่อปรึกษาหารือกัน พี่เลี้ยงเล่าให้ฟังว่าพระธิดาถามถึงความเป็นมาของพราหมณ์น้อย ก็ได้รับคำตอบว่า
   ศรีสุวรรณชั้นเชิงฉลาดแหลมทำยิ้มแย้มเยื้อนว่าอย่าสงสัย
ฉันพี่น้องท้องเดียวมาเที่ยวไกล อันห่วงใยไม่มีทั้งสี่คน
หมายพระนุชบุตรีเป็นที่พึ่งคิดรำพึงสารพัดจะขัดสน
เสด็จมาเที่ยวเล่นเห็นชอบกลนฤมลมองหาสุมาลี
ฯลฯ
พระว่าพลางทางตัดใบตองอ่อนมาเขียนกลอนกล่าวประโลมนางโฉมฉาย
จบลงเอยอ่านต้นไปจนปลายไม่คลาดคลายถูกถ้วนแล้วม้วนตอง
เอาโศกแซมแกมรักสลักหนามเหมือนบอกความรักนางว่าหมางหมอง
ฯลฯ
แล้วถอดธำมรงค์ครุฑบุษราฝากถวายพระธิดาวิลาวัณย์ ฯ
            แล้วสี่พี่เลี้ยงก็นำของฝากของศรีสุวรรณไปให้พระธิดา พร้อมกับให้ความเห็นว่า พราหมณ์น้อยผู้นี้น่าจะมิใช่ชาติพราหมณ์เทศข้างเพศไสย ชะรอยจะเป็นหน่อกษัตริย์มาแต่แดนไกล
   นางโฉมยงทรงหยิบใบตองอ่อนเห็นโศกซ้อนแซมรักสลักหนาม
ก็แจ้งจิตปริศนาปัญญาพราหมณ์แกล้งนิ่งความคลี่สารออกอ่านพลัน
ในสารศรีสุวรรณวงศ์พงศ์กษัตริย์บุรีรัตนามหาสวรรค์
สวาทหวังพระธิดาวิลาวัณย์สู้เดินดั้นดงแดนแสนกันดาร
พยายามข้ามมหามหรรณพหวังประสบวรนุชสุดสงสาร
ฯลฯ
จึงแต่งสารเสี่ยงทายถวายแหวนใบตองแทนแผ่นทองพระน้องเอ๋ย
ถ้าแม้นมาตรชาติก่อนเป็นคู่เคยขอให้เผยพจนารถประภาษมา
ฯลฯ
            พระธิดาทราบความแล้ว แสร้งทำเฉไฉว่าพราหมณ์น้องต้องการบอกว่ารักพี่เลี้ยง แล้วก็ขอซื้อแหวนที่ศรีสุวรรณให้มา จากพี่เลี้ยง พร้อมกับบอกว่าจะตอบเพลงยาวที่ส่งมาให้สาสมกับที่จ้วงจาบ นางสี่พี่เลี้ยงจึงบอกว่า แหวนวงนั้นขอถวายให้แต่ขอแลกเปลี่ยนภูษาศรี ที่ทรงไปอุทยานเมื่อวานนี้ พระธิดาแกล้งทำไขสือว่าจะให้ แต่ห้ามเอาไปให้ใคร แล้วพระธิดาก็ทรงกลอนอักษรสนอง
ครั้นค่ำลงทรงกลอนอักษรสนอง เขียนจำลองลงแผ่นกระดาษหนัง
ให้หักใบเต่าร้างที่กลางวัน มาห่อทั้งดอกรักอักขรา ฯ
            วันรุ่งขึ้นสี่พี่เลี้ยงก็ออกไปพบพราหมณ์มาณพทั้งสามและศรีสุวรรณ ที่สวนขวัญแจ้งเหตุการณ์ที่ผ่านมา แล้วมอบของที่พระธิดาฝากมาให้ แล้วลากลับไป ศรีสุวรรณนำกลอนอักษรสารของพระธิดามาอ่านให้สามพราหมณ์ฟัง
   ศุภสารฉานสนองใบตองอ่อนซึ่งวิงวอนว่าไม่ขาดสวาทหวัง
ก็ขอบใจไมตรีดีกว่าชัง ไม่ปิดบังบอกวงศ์พงศ์ประยูร
อันบุรีรัตนามหาสวรรค์สารพันโภคัยทั้งไอศูรย์
ฯลฯ
ซึ่งเสี่ยงทายหมายมาดสวาทมามิเมตตาชีวันจะบรรลัย
ทั้งรำพันสรรเสริญเห็นเกินนักถึงจะรักก็ไม่รักจนตักษัย
ที่ข้อนั้นครั้นละเชื่อก็เหลือใจเขาว่าไว้หวานนักก็มักรา
ถ้ารักนักมักหน่ายคล้ายอิเหนาต้องจากเยาวยุพินจินตรา
แม้นพระองค์ทรงเดชเจตนาจงตรึกตราตรองความตามบุราณ
เสด็จกลับกรุงไกรไอศวรรย์จึงจัดสรรทูตถือหนังสือสาร
มาทูลองค์ทรงศักดิ์จักรพาลโปรดประทานก็จะได้ดังใจจง
ฯลฯ
            ฝ่ายศรีสุดาพี่เลี้ยงคนหนึ่ง เคืองแค้นพี่เลี้ยงอีกสามคนซึ่งเป็นที่หมายปองของสามพราหมณ์มาณพ จึงไปฟ้องพระธิดาแล้วกล่าวหาสามพี่เลี้ยง ทั้งสองฝ่ายจึงโต้เถียงกัน พระธิดาต้องออกปากห้าม
เจ้าพราหมณ์น้อยอ่อนห้ามหรือพราหมณ์ใหญ่เข้าเคียงไหล่โลมนางอยู่กลางสวน
ทำเกลียวกลมสมยอมซ้อมสำนวนมาก่อกวนเกาแก้ที่แผลคัน
ฯลฯ
   พระบุตรีกริ้วกราดตวาดว่านี่ใครมาหาให้พี่ตีหมากผัว
เฝ้าหวงหึงอึงไปช่างไม่กลัวไม่มีชั่วตัวดีทั้งสี่คน
อย่าทะเลาะกันที่นี่ให้มีฉาวไปว่ากล่าวถากถางกันกลางถนน
เหมือนไก่เห็นตีนงูเขารู้กลมาพลอยบ่นปนแปดข้าน่ารำคาญ ฯ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น