วรรณคดีไทยเรื่องพระอภัยมณี ของสุนทรภู่ กวีเอกในสมัยต้นรัตนโกสินทร์ เป็นคำประพันธ์ประเภทคำกลอนที่มีความไพเราะ และมีคุณค่าทางวรรณคดีอย่างยิ่ง ได้มีการพิมพ์เผยแพร่เป็นทางการอย่างสมบูรณ์เป็นครั้งแรก เมื่อปี พ.ศ.๒๔๖๘ และได้มีการพิมพ์ เผยแพร่เป็นลำดับในเวลาต่อมาอีกหลายครั้ง
ในบรรดาหนังสือบทกลอนที่สุนทรภู่ได้แต่งไว้ เป็นที่เห็นพ้องต้องกันว่า เรื่องพระอภัยมณีเป็นเรื่องที่ดีที่สุด เพราะเป็นหนังสือเรื่องยาว แต่งดีทั้งกลอนทั้งความคิดที่ผูกเรื่อง
หนังสือเรื่องพระอภัยมณี ผิดกับหนังสือซึ่งผู้อื่นแต่งอยู่หลายประการ จะว่าไม่มีหนังสือเรื่องหนึ่งเรื่องใดมาเปรียบก็ได้ เป็นหนังสือดีแปลกจากเรื่องอื่น ๆ กลอนของสุนทรภู่ก็แปลกจากกลอนของกวีอื่นซึ่งนับว่าดีในสมัยเดียวกัน ความคิดและโวหารก็แปลกจากหนังสือซึ่งผู้อื่นแต่ง และความที่คนทั้งหลายนิยมหนังสือพระอภัยมณีก็แปลกจากหนังสือเรื่องอื่น ๆ
ข้อดีที่ยิ่งของหนังสือพระอภัยมณี อยู่ที่การแต่งพรรณนาอัชฌาสัยของบุคคลต่าง ๆ กันอย่างหนึ่ง คนไหนวางอัชฌาสัยไว้อย่างไรแต่แรก ก็คงให้อัชฌาสัยเป็นอย่างนั้นอยู่ทุกแห่งไปเมื่อกล่าวถึงในแห่งใด ๆ ต่อไปอีกอย่างหนึ่ง คำพูดจาว่ากล่าวกันด้วยความรักก็ดี ความโกรธแค้นก็ดี สุนทรภู่รู้จักหาถ้อยคำสำนวนมาว่าให้สัมผัสใจคน ใครอ่านจึงมักชอบจนถึงนำมาใช้เป็นสุภาษิต
ในบรรดาหนังสือบทกลอนที่สุนทรภู่ได้แต่งไว้ เป็นที่เห็นพ้องต้องกันว่า เรื่องพระอภัยมณีเป็นเรื่องที่ดีที่สุด เพราะเป็นหนังสือเรื่องยาว แต่งดีทั้งกลอนทั้งความคิดที่ผูกเรื่อง
หนังสือเรื่องพระอภัยมณี ผิดกับหนังสือซึ่งผู้อื่นแต่งอยู่หลายประการ จะว่าไม่มีหนังสือเรื่องหนึ่งเรื่องใดมาเปรียบก็ได้ เป็นหนังสือดีแปลกจากเรื่องอื่น ๆ กลอนของสุนทรภู่ก็แปลกจากกลอนของกวีอื่นซึ่งนับว่าดีในสมัยเดียวกัน ความคิดและโวหารก็แปลกจากหนังสือซึ่งผู้อื่นแต่ง และความที่คนทั้งหลายนิยมหนังสือพระอภัยมณีก็แปลกจากหนังสือเรื่องอื่น ๆ
ข้อดีที่ยิ่งของหนังสือพระอภัยมณี อยู่ที่การแต่งพรรณนาอัชฌาสัยของบุคคลต่าง ๆ กันอย่างหนึ่ง คนไหนวางอัชฌาสัยไว้อย่างไรแต่แรก ก็คงให้อัชฌาสัยเป็นอย่างนั้นอยู่ทุกแห่งไปเมื่อกล่าวถึงในแห่งใด ๆ ต่อไปอีกอย่างหนึ่ง คำพูดจาว่ากล่าวกันด้วยความรักก็ดี ความโกรธแค้นก็ดี สุนทรภู่รู้จักหาถ้อยคำสำนวนมาว่าให้สัมผัสใจคน ใครอ่านจึงมักชอบจนถึงนำมาใช้เป็นสุภาษิต
ตอนที่ ๑ พระอภัยมณีกับศรีสุวรรณเรียนวิชา
ค แต่ปางหลังยังมีกรุงกษัตริย์ | |
สมมติวงศ์ทรงนามท้าวสุทัศน์ | ผ่านสมบัติรัตนานามธานี |
อันกรุงไกรใหญ่ยาวเก้าสิบโยชน์ | ภูเขาโขดเป็นกำแพงบูรีศรี |
สะพรึบพร้อมไพร่ฟ้าประชาชี | ชาวบุรีหรรษาสถาวร |
มีเอกองค์นงลักษณ์อัครราช | พระนางนาฏนามปทุมเกสร |
สนมนางแสนสุรางคนิกร | ดังกินนรน่ารักลักขณา |
มีโอรสสององค์ล้วนทรงลักษณ์ | ประไพพักตร์เพียงเทพเลขา |
ชื่ออภัยมณีเป็นพี่ยา | พึ่งแรกรุ่นชันษาสิบห้าปี |
อันกุมารศรีสุวรรณนั้นเป็นน้อง | เนื้อดังทองนพคุณจำรูญศรี |
พึ่งโสกันต์พรรษาสิบสามปี | พระชนนีรักใคร่ดังนัยนา |
สมเด็จท้าวบิตุรงค์ดำรงราชย์ | แสนสวาทลูกน้อยเสน่หา |
จะเสกสองครองสมบัติขัตติยา | แต่วิชาสิ่งใดไม่ชำนาญ |
จึงดำรัสตรัสเรียกโอรสราช | มาริมอาสน์แท่นสุวรรณแล้วบรรหาร |
พ่อจะแจ้งเจ้าจงจำคำโบราณ | อันชายชาญเชิ้อกษัตริย์ขัตติยา |
ยอมพากเพียรเรียนไสยศาสตร์เวท | สิ่งวิเศษสืบเสาะแสวงหา |
ได้ป้องกันอันตรายนครา | ตามกษัตริย์ขัตติยาอย่างโบราณ |
พระลูกรักจักสืบวงศ์กษัตริย์ | จงรีบรัดเสาะแสวงแหล่งสถาน |
หาทิศาปาโมกข์ชำนาญชาญ | เป็นอาจารย์พากเพียรเรียนวิชา ฯ |
จะเดินทางกลางป่าพนาดร | จงผันผ่อนตรึกจำคำโบราณ |
จะพูดจาสารพัดบำหยัดยั้ง | จนลุกนั่งน้ำท่ากระยาหาร |
แม้นหลับนอนผ่อนพ้นที่ภัยพาล | อดบันดาลโกรธขึ้งจึงสบาย |
อาจารย์ทั้งสองได้เขียนหนังสือไว้ที่หน้าบ้านว่า ผู้ใดต้องการเรียนวิชาของตนจะต้องมีทองแสนตำลึงมาให้ เมื่อทั้งสองราชกุมารทราบความแล้ว ก็ตกลงใจที่จะเรียนวิชากับอาจารย์ทั้งสอง โดยที่ศรีสุวรรณรักที่จะเรียนวิชารำกระบอง ส่วนพระอภัยมณีรักที่จะเรียนวิชาเพลงดนตรี โดยเอาธำมรงค์ที่ใส่นิ้วมา ตีราคาแสนตำลึงทอง เป็นค่าเล่าเรียน
ฝ่ายอาจารย์ของพระอภัยพาพระอภัยไปยอดเขาให้เป่าปี่ใช้เวลาประมาณเจ็ดเดือนก็เรียนจบ
สิ้นความรู้ครูประสิทธิ์ไม่ปิดบัง | จึงสอนสั่งอุปเท่ห์เป็นเล่ห์กล |
ถ้าแม้นว่าข้าศึกมันโจมจับ | จะรบรับสารพัดให้ขัดสน |
เอาปี่เป่าเล้าโลมน้ำใจคน | ด้วยเล่ห์กลโลกาห้าประการ |
คือรูปรสกลิ่นเสียงเคียงสัมผัส | เกิดกำหนัดลุ่มหลงในสงสาร |
ให้ใจอ่อนนอนหลับดังวายปราณ | จึงคิดอ่านเอาชัยเหมือนใจจง |
ฝ่ายศรีสุวรรณได้ศึกษากลอาวุธจนสิ้นความรู้ของอาจารย์ แล้วอาจารญืก็คืนแหวนให้และบอกปริศนาไขข้อความเช่นเดียวกับอาจารย์ของพระอภัย ทั้งสองราชกุมารก็เดินทางกลับกรุงรัตนาเข้าเฝ้าพระราชบิดา แจ้งผลการศึกษาของตนให้ทรงทราบ ท้าวสุทัศน์ได้ทรงทราบแล้วก็ทรงพิโรธ เห็นว่าวิชชาที่เรียนมานั้นไม่สมควรแก่ราชกุมาร ออกปากขับไล่ไปเสียจากเมือง
ฝ่ายสองราชกุมารได้รับความอัปยศอดสู จึงพากันออกจากเมืองเข้าสู่ป่า แล้วหารือกันถึงความยากลำบากที่จะประสบต่อไปในอนาคต พระอนุชาได้กล่าวแก่พระเชษฐาว่า
ค พระอนุชาว่าพี่นี้ขี้ขลาด | เป็นชายชาติช้างงาไม่กล้าหาญ |
แม้นชีวันยังไม่บรรลัยลาญ | ก็เซซานซอกซอนสัญจรไป |
เผื่อพบพานบ้านเมืองที่ไหนมั่ง | พอประทังกายาอยู่อาศัย |
มีความรู้อยู่กับตัวกลัวอะไร | ชีวิตไม่ปลดปลงคงได้ดี |
กล่าวถึงบุตรพราหมณ์สามมาณพเป็นสหายกัน คนหนึ่งชื่อ โมรา มีวิชาเอาหญ้ามาผูกเป็นสำเภายนต์ แล่นไปบนดินได้ คนหนึ่งชื่อ สานน มีวิชาเรียกลมฝนได้ คนหนึ่งชื่อ วิเชียร มีวิชาใช้ธนูสามารถยิ่งออกไปได้ทีละเจ็ดลูก จะให้ถูกตรงไหนก็ได้ทั้งสิ้น ทั้งสามมาณพได้มาพบสองราชกุมารที่เนินทรายชายทะเลดังกล่าว ได้ทำความรู้จักและไต่ถามวิชาความรู้ซึ่งกันและกัน เป็นที่เข้าใจกันดี ยกเว้นวิชาเป่าปี่ของพระอภัย ว่าจะมีคุณประการใด พระอภัยจึงอธิบายให้ฟัง
ค พระฟังความพราหมณ์น้อยสนองถาม | จึงเล่าความจะแจ้งแถลงไข |
อันดนตรีมีคุณทุกอย่างไป | ย่อมใช้ได้ดังจินดาค่าบุรินทร์ |
ถึงมนุษย์ครุฑาเทวราช | จตุบาทกลางป่าพนาสิณฑ์ |
แม้ปี่เราเป่าไปให้ได้ยิน | ก็สุดสิ้นโทโสที่โกรธา |
ให้ใจอ่อนนอนหลับลืมสติ | อันลัทธิดนตรีดีหนักหนา |
ค ในเพลงปี่ว่าสามเจ้าพราหมณ์เอ๋ย | ยังไม่เคยชมชิดพิสมัย |
ถึงร้อยรสบุปผาสุมาลัย | จะชื่นใจเหมือนสตรีไม่มีเลย |
ตอนที่ ๒ นางผีเสื้อลักพระอภัยมณี
ค จะกล่าวถึงอสุรีผีเสื้อน้ำ | อยู่ท้องถ้ำวังวนชลสาย |
ได้เป็นใหญ่ในพวกปีศาจพราย | สกนธ์กายโตใหญ่เท่าไอยรา |
คพระสุดแสนแค้นเคืองรำคาญจิต | เป็นสุดคิดสุดที่จะหนีหาย |
ให้อักอ่วนป่วนใจไม่สบาย | มันกอดกายเซ้าซี้พิรี้พิไร |
จะยั่งยืนขืนขัดตัดสวาท | ไม่สังวาสเชยชิดพิสมัย |
ก็จะสะบักสะบอมตรอมฤทัย | ต้องแข็งใจกินเกลือด้วยเหลือทน |
คพระฟังคำจำจิตพิสวาท | ฝืนอารมณ์สมพาสทั้งโศกเศร้า |
การโลกีย์ดีชั่วย่อมมัวเมา | เหมือนอดข้าวกินมันกันเสบียง |
สมพาสยักษ์รักร่วมภิรมย์สม | เหมือนเด็ดดอกหญ้าดินพอได้กลิ่น |
เป็นนิสัยในภพธรณินทร์ | ไม่สุดสิ้นเสน่ห์ประเวณี ฯ |
ตอนที่ ๓ ศรีสุวรรณเข้าเมืองรมจักร์
อันองค์ผู้ดำรงอาณาราษฎร์ | นามพระบาทท้าวทศวงศา |
มีโฉมยงองค์ราชธิดา | ชื่อนางแก้วเกษราวิลาวัณย์ |
กรุงกษัตริย์ขัตติยาทุกธานี | มาสู่ขอภูมีไม่ให้ใคร |
เมื่อปีกลายฝ่ายท้าวอุเทนราช | เป็นเชื้อชาติชาวชวาภาษาไสย |
อานุภาพปราบทั่วทุกกรุงไกร | เป็นเมืองใหญ่กว่ากษัตริย์ขัตย์ติวงศ์ |
ให้ทูตามาสนองละอองบาท | จะขอราชธิดาโดยประสงค์ |
แม้นไม่ให้จะประจญรณรงค์ | กับผู้พงศ์จักรพรรดิ์ขัตติยา |
ข้างเจ้านายฝ่ายเรามิได้ให้ | ว่าท้าวไทเป็นคนนอกพระศาสนา |
ถึงจีนจามพราหมณ์แขกที่แปลกชาติ | พี่สวาทแล้วมาเปรียบประเทียบฉัน |
แกล้งลวงเล่นเห็นรู้ไม่เท่าทัน | แต่เช่นนั้นแล้วอย่านึกคะนึงปอง |
ตอนที่ ๔ ศรีสุวรรณพบนางเกษรา
นางแก้วเกษรา เมื่อถึงคราวจะได้คู่ได้สุบินนิมิต เมื่อตอนใกล้รุ่งจึงเรียกสี่พี่เลี้ยงมาเล่าความฝันให้ฟังว่า
ฉันฝันว่าวาสุกรีอันเกรียงไกร | เข้ามาในแท่นสุวรรณอันบรรจง |
เกี่ยวกระหวัดรัดรอบอุราน้อง | ฉันร่ำร้องอยู่บนเตียงจนเสียงหลง |
พี่เลี้ยงทั้งสี่ได้ออกไปพบสามมาณพกับราชกุมาร ดูแลทุกข์สุขเมื่ออยู่กับคนเฝ้าสวนสองคนตายาย แล้วกลับมารอเวลาจนเย็น จึงไปชวนราชธิดาไปชมสวนในเช้าวันรุ่งขึ้น
ค ฝ่ายพระนุชบุตรีศรีสวัสดิ์ | จิตกำหนัดนึกคะนึงถึงบุปผา |
บรรทมตื่นแต่งองค์อลงการ์ | ผลัดภูษาจัดจีบกลีบประจง |
ทรงสะพักสไบกรองลายทองริ้ว | สัมผัสผิวพระนลาฏวาดขนง |
สร้อยสังวาลบานพับประดับองค์ | ดังอนงค์นางสวรรค์ชั้นโสฬส |
ศรีสุวรรณกับสามพราหมณ์พี่เลี้ยงเห็นนางในนับร้อยมาเที่ยวอุทยาน จึงชวนกันมาที่สวนขวัญตามที่ได้นัดแนะพี่เลี้ยงทั้งสี่นางเอาไว้ ได้เห็นพระธิดาเดินทางมาท่ามกลางสี่พี่เลี้ยง ก็ตกตะลึงในความงามของพระธิดาที่เพิ่งรุ่นสาวอายุสักสิบสี่ปี ฝ่ายศรีสุวรรณนั้น
ชำเลืองเห็นพระธิดาพะงางาม | ให้มีความพิสวาสจะขาดใจ |
ด้วยคู่สร้างปางหลังแล้วอย่างนั้น | พอเห็นกันก็ให้คิดพิสมัย |
พอเนตรน้องต้องเนตรหน่อกษัตริย์ | หวนประหวัดหวาดจิตคิดสงสัย |
องค์ระทวยขวยเขินสะเทิ้นใจ | แฝงต้นไม้เมียงชม้อยคอยชายตา |
ความอาลัยใจวาบให้ปลาบปลื้ม | ตะลึงลืมหลงแลชะแง้หา |
พระบุตรีลีลาศชำเลืองมา | ไม่เห็นหน้าพราหมณ์น้อยละห้อยใจ |
พระพักตร์ผ่องหมองเหมือนเดือนพยับ | ด้วยจิตจับถึงมิตรพิสมัย |
ลืมบรรดาข้าหลวงพวงดอกไม้ | ถอนฤทัยทุกข์ถึงคะนึงครวญ |
พระกอดเข่าเศร้าสร้อยละห้อยหวน | จนหลงครวญขับลำเป็นคำหวาน |
โอ้เจ้าแก้วเกษรายุพาพาล | ไม่สงสารพี่บ้างหรืออย่างไร |
เมื่อผันแปรแลพบก็หลบพักตร์ | จะเห็นรักหรือไม่เห็นเป็นไฉน |
บุราณว่ามิตรจิตก็มิตรใจ | จะกระไรอยู่มั่งยังไม่เคย |
ตอนที่ ๕ ศรีสุวรรณเกี้ยวนางเกษรา
ฝ่ายพระบุตรีเมื่อกลับมาถึงวังก็เฝ้าแต่ถวิลหาเจ้าพราหมณ์น้อย สี่พี่เลี้ยงรู้ความก็ปรึกษาหารือกัน แล้วก็พากันขับกล่อมพระบุตรีให้บรรทมด้วยข้อความอันเกี่ยวเนื่องด้วยเจ้าพราหมณ์น้อย พระธิดาได้ฟังขับก็จับจิตแล้วจึงแสร้งต่อว่าสี่พี่เลี้ยงที่ชักนำให้เกิดเหตุการณ์ที่ผ่านมา
ฝ่ายศรีสุวรรณก็พร่ำเพ้อถึงนางแก้วเกษราอยู่ตลอดราตรี จนสามพราหมณ์มาณพต้องเตือนว่า
พี่บอกแล้วไม่เชื่อนั้นเหลือใจ | หนักอะไรจะเหมือนรักหนักอุรา |
หลงอะไรจะเหมือนหลงทรงมนุษย์ | ที่โศกสุดเศร้าแสนเสน่หา |
จนลืมตัวมัวหมองเพราะต้องตา | ต้องตรึกตราตรอมจิตเพราะปิดความ |
บุราณว่าถ้าเหลือกำลังลาก | ให้ออกปากบอกแขกช่วยแบกหาม |
แม้นพ่อบอกออกบ้างไม่พรางความ | จะเป็นล่ามแก้ไขให้ได้การ ฯ |
ค ศรีสุวรรณชั้นเชิงฉลาดแหลม | ทำยิ้มแย้มเยื้อนว่าอย่าสงสัย |
ฉันพี่น้องท้องเดียวมาเที่ยวไกล | อันห่วงใยไม่มีทั้งสี่คน |
หมายพระนุชบุตรีเป็นที่พึ่ง | คิดรำพึงสารพัดจะขัดสน |
เสด็จมาเที่ยวเล่นเห็นชอบกล | นฤมลมองหาสุมาลี |
พระว่าพลางทางตัดใบตองอ่อน | มาเขียนกลอนกล่าวประโลมนางโฉมฉาย |
จบลงเอยอ่านต้นไปจนปลาย | ไม่คลาดคลายถูกถ้วนแล้วม้วนตอง |
เอาโศกแซมแกมรักสลักหนาม | เหมือนบอกความรักนางว่าหมางหมอง |
แล้วถอดธำมรงค์ครุฑบุษรา | ฝากถวายพระธิดาวิลาวัณย์ ฯ |
ค นางโฉมยงทรงหยิบใบตองอ่อน | เห็นโศกซ้อนแซมรักสลักหนาม |
ก็แจ้งจิตปริศนาปัญญาพราหมณ์ | แกล้งนิ่งความคลี่สารออกอ่านพลัน |
ในสารศรีสุวรรณวงศ์พงศ์กษัตริย์ | บุรีรัตนามหาสวรรค์ |
สวาทหวังพระธิดาวิลาวัณย์ | สู้เดินดั้นดงแดนแสนกันดาร |
พยายามข้ามมหามหรรณพ | หวังประสบวรนุชสุดสงสาร |
จึงแต่งสารเสี่ยงทายถวายแหวน | ใบตองแทนแผ่นทองพระน้องเอ๋ย |
ถ้าแม้นมาตรชาติก่อนเป็นคู่เคย | ขอให้เผยพจนารถประภาษมา |
ครั้นค่ำลงทรงกลอนอักษรสนอง | เขียนจำลองลงแผ่นกระดาษหนัง |
ให้หักใบเต่าร้างที่กลางวัน | มาห่อทั้งดอกรักอักขรา ฯ |
ค ศุภสารฉานสนองใบตองอ่อน | ซึ่งวิงวอนว่าไม่ขาดสวาทหวัง |
ก็ขอบใจไมตรีดีกว่าชัง | ไม่ปิดบังบอกวงศ์พงศ์ประยูร |
อันบุรีรัตนามหาสวรรค์ | สารพันโภคัยทั้งไอศูรย์ |
ซึ่งเสี่ยงทายหมายมาดสวาทมา | มิเมตตาชีวันจะบรรลัย |
ทั้งรำพันสรรเสริญเห็นเกินนัก | ถึงจะรักก็ไม่รักจนตักษัย |
ที่ข้อนั้นครั้นละเชื่อก็เหลือใจ | เขาว่าไว้หวานนักก็มักรา |
ถ้ารักนักมักหน่ายคล้ายอิเหนา | ต้องจากเยาวยุพินจินตรา |
แม้นพระองค์ทรงเดชเจตนา | จงตรึกตราตรองความตามบุราณ |
เสด็จกลับกรุงไกรไอศวรรย์ | จึงจัดสรรทูตถือหนังสือสาร |
มาทูลองค์ทรงศักดิ์จักรพาล | โปรดประทานก็จะได้ดังใจจง |
เจ้าพราหมณ์น้อยอ่อนห้ามหรือพราหมณ์ใหญ่ | เข้าเคียงไหล่โลมนางอยู่กลางสวน |
ทำเกลียวกลมสมยอมซ้อมสำนวน | มาก่อกวนเกาแก้ที่แผลคัน |
ค พระบุตรีกริ้วกราดตวาดว่า | นี่ใครมาหาให้พี่ตีหมากผัว |
เฝ้าหวงหึงอึงไปช่างไม่กลัว | ไม่มีชั่วตัวดีทั้งสี่คน |
อย่าทะเลาะกันที่นี่ให้มีฉาว | ไปว่ากล่าวถากถางกันกลางถนน |
เหมือนไก่เห็นตีนงูเขารู้กล | มาพลอยบ่นปนแปดข้าน่ารำคาญ ฯ |
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น